Category Archives: สะท้อน bible

○ ข้อคิด บทเรียนที่ข้าพเจ้าได้รับจากพระคัมภีร์

โยบกับการถวายเครื่องบูชาไถ่บาปเพื่อคนในครัวเรือน

โยบ 1:5  และเมื่อการเลี้ยงเวียนครบรอบแล้ว โยบจะใช้ให้ไปทำพิธีชำระตัวเขาทั้งหลายให้บริสุทธิ์ และท่านจะตื่นแต่เช้ามืด ถวายเครื่องเผาบูชาตามจำนวนของเขาทั้งหมด เพราะโยบกล่าวว่า “บางทีบุตรชายของข้าพเจ้าได้กระทำบาป และแช่งพระเจ้าอยู่ในใจของเขา” โยบกระทำดังนี้เรื่อยมา โยบเป็นคนดีพร้อมต่อหน้าพระพักตร์พระเจ้า แต่ถึงกระนั้นเขาก็ตระหนักและรู้ดีเสมอว่า แม้เขาจะรักษาชีวิตของเขาได้อย่างดี แต่คนในครัวเรือนเขาก็สำคัญต่อพระพรของพระเจ้าที่จะเทลงมาอย่างเต็มขนาดในครัวเรือนของเขา แน่นอนการรักษาชีวิตส่วนตัวย่อมนำพระพรมาถึงตามขนาดที่ตนเองรักษาอย่างแน่นอน แต่หากครอบครัวได้รักษาชีวิตในทิศทางเดียวกัน เป็นหนึ่งเดียวกันในการรักษาชีวิตทั้งครัวเรือน พระพรแห่งครอบครัวจะเทลงมาด้วยเป็นอีกชั้นหนึ่ง โยบรู้เรื่องนี้อยู่เต็มอก เขาจึงต้องถวายเครื่องบูชาแด่พระเจ้าในทุกวัน ไม่ใช่แค่เพียงของตนเอง แต่ของทุกคนในครอบครัวด้วย สิ่งที่โยบทำไม่เพียงสะท้อนให้เห็นว่าเขาสนใจ เอาใจใส่ ในการรักษาความบริสุทธิ์นี้เสมอ แต่ยังสะท้อนด้วยว่า เขาเกรงว่าใครสักคนในครอบครัวจะทำผิดบาปต่อพระเจ้าของเขา การถวายบูชานั้นสามารถทำแทนกันได้ในระดับหนึ่ง เพราะเป็นตัวแทนในครอบครัว แต่ถึงกระนั้นการกลับใจก็ไม่สามารถทำแทนกันได้เลย แม้เขาจะรู้เรื่องนี้ก็ตาม แต่การถวายบูชานั้นก็ยังคงช่วยเรื่องการชำระบาปและเป็นการสำรวจครัวเรือนเสมอๆ เป็นการยื่นคำร้องและแสดงตนต่อองค์พระผู้เป็นเจ้าว่า อย่างน้อยที่สุด …..    “โปรดเห็นแก่ข้าพเจ้า, โปรดเห็นแก่เครื่องบูชาที่ข้าพเจ้าได้ทำเพื่อพวกเขา, โปรดชำระและอย่ารื้อคดีความเก่าๆ ที่ผ่านเลยไปแล้วเลย,……”   โยบกับการถวายเครื่องบูชาไถ่บาปเพื่อคนในครัวเรือน   1.    เป็นที่แน่นอน เมื่อเรารู้บาปของเรา เราสามารถกลับใจเองได้ จัดการตัวเองได้ แต่หากเป็นคนอื่นโดยเฉพาะคนในครอบครัวที่เรารักยิ่งนัก เราไม่สามารถกลับใจแทนเขาได้ บังคับเขาให้เปลี่ยนแปลงก็ไม่ได้ นี่คือความทุกข์อย่างมากที่ผู้รักษาชีวิตต้องเผชิญกับสิ่งที่รู้และเห็นกับตา 2.    แม้เราไม่สามารถทำการกลับใจใหม่แทนคนในครอบครัวของเราได้ แต่อย่างน้อยเราก็สามารถสารภาพบาปผิดแทนเขาได้ ซึ่งเป็นอีกวิธีในการแสดงออกถึงการมอบถวายครอบครัวให้กับพระเจ้าแบบไร้มลทิน… Read More »

เหตุใดดาวิดจึงฟังนาธัน

แทนที่ดาวิดจะโกรธเคือง เกรี้ยวกราด ที่นาธันมาเตือนตนเองเรื่องความผิดบาปที่ได้ทำต่อบัทเชบาและครอบครัวของเขา ทั้งที่ดาวิดเป็นถึงกษัตริย์ มีทั้งตำแหน่ง เกียรติยศ ชื่อเสียง อำนาจสิทธิอำนาจ ในการสั่งให้ทำอะไรนาธันก็ได้… 2 ซมอ.11:1-27 >> กล่าวถึงความผิดบาปที่ดาวิดทำเรื่องนางบัทเชบา 11:1 และอยู่มาพอสิ้นปีแล้วเมื่อบรรดากษัตริย์ยกกองทัพออกไปรบดาวิดทรงใช้โยอาบพร้อมกับพวกข้าราชการและอิสราเอลทั้งหมดเขาไปกวาดล้างคนอัมโมนและล้อมเมืองรับบาห์ไว้ แต่ดาวิดประทับที่เยรูซาเล็ม 11:2 อยู่มาเวลาเย็นวันหนึ่งเมื่อดาวิดทรงลุกขึ้นจากพระแท่นและดำเนินอยู่บนดาดฟ้าหลังคาพระราชวังทอดพระเนตรจากหลังคาเห็นผู้หญิงคนหนึ่งอาบน้ำอยู่ หญิงคนนั้นสวยงามมาก 11:3 ดาวิดทรงใช้คนไปไต่ถามเรื่องผู้หญิงคนนั้น คนหนึ่งมากราบทูลว่า “หญิงคนนี้ชื่อบัทเชบา บุตรสาวของเอลีอัมภรรยาของอุรีอาห์คนฮิตไทต์มิใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ” 11:4 ดาวิดก็ทรงใช้ผู้สื่อสารไปรับนางมา นางก็มาเฝ้าพระองค์แล้วพระองค์ทรงร่วมหลับนอนกับนาง พอดีนางได้ชำระตัวให้สิ้นมลทินของนางแล้วแล้วนางก็กลับไปเรือนของตน 11:5 ผู้หญิงนั้นก็ตั้งครรภ์ นางจึงใช้คนไปกราบทูลดาวิดว่า “หม่อมฉันตั้งครรภ์แล้ว” 11:6 ดาวิดทรงใช้คนไปบอกโยอาบว่า “จงส่งอุรีอาห์คนฮิตไทต์มาให้เรา” โยอาบก็ส่งตัวอุรีอาห์ไปให้ดาวิด 11:7 เมื่ออุรีอาห์เข้าเฝ้าพระองค์ ดาวิดรับสั่งถามว่าโยอาบเป็นอย่างไรบ้าง พวกพลเป็นอย่างไร การสงครามคืบหน้าไปอย่างไร 11:8 แล้วดาวิดรับสั่งอุรีอาห์ว่า “จงลงไปบ้านของเจ้า และล้างเท้าของเจ้าเสีย” อุรีอาห์ก็ออกไปจากพระราชวัง และมีคนนำของประทานจากกษัตริย์ตามไปให้ 11:9 แต่อุรีอาห์ได้นอนเสียที่ประตูพระราชวังพร้อมกับบรรดาข้าราชการของเจ้านายของเขา มิได้ลงไปที่บ้านของตน 11:10 เมื่อมีคนกราบทูลดาวิดว่า “อุรีอาห์ไม่ได้ลงไปที่บ้านของเขาพ่ะย่ะค่ะ” ดาวิดรับสั่งแก่อุรีอาห์ว่า “เจ้ามิได้เดินทางมาดอกหรือทำไมจึงไม่ลงไปบ้านของเจ้า”… Read More »

? ทำไมเชื่อแล้ว … แต่ไม่เห็นความยิ่งใหญ่

ฮบ.11:39-40 11:39 คนเหล่านั้นทุกคนมีชื่อเสียงดีโดยความเชื่อ ก็ยังไม่ได้รับสิ่งที่ทรงสัญญาไว้ 11:40 ด้วยว่าพระเจ้าทรงจัดเตรียมการอย่างดีกว่าไว้สำหรับเราทั้งหลาย เพื่อไม่ให้เขาทั้งหลายถึงที่สำเร็จนอกจากเรา หลายครั้งเราก็เริ่มต้นด้วยความเชื่อ แต่มีบางครั้ง บางเรื่อง บางเวลา ดูเหมือนไม่เห็นอะไรมากนัก ทั้งที่เชื่อเต็มเปี่ยม   ? ทำไมเชื่อแล้ว … แต่ไม่เห็นความยิ่งใหญ่ 1. ระยะเวลา ♥    พระเจ้ามีระยะเวลาสำหรับแต่ละเรื่อง แต่ละคนอย่างเจาะจง ในระหว่างเวลาที่ยังมาไม่ถึง นั่นแหละคือช่วงเวลาการใช้ความเชื่อ … ♥    ความเชื่อไม่ใช่จะใช้กันแค่แป๊บๆ แต่จำเป็นต้องผ่านระยะเวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ความเชื่อด้วย ยิ่งเนิ่นนาน หากยังคงรักษาความเชื่อไม่คลอนแคลนไปเป็นอื่น เพราะมันยังมาไม่ถึงสักทีก็เป็นการพัฒนาความเชื่อมากยิ่งขึ้น และเป็นตัวบ่งชี้ขนาดความเชื่อของเรา ว่าสามารถใช้ความเชื่อที่มีอยู่ผ่านอุปสรรคปัญหาต่างๆ ไปได้หรือไม่ เช่น ระยะเวลาที่นาน , ข้อสงสัย , ข้อมูลที่ขัดแย้งกับความเชื่อและพระสัญญาของพระเจ้า , ตัวเร้าทั้งภายในของเราเอง ทั้งเสียงรอบข้าง ทั้งการบีบรัดด้านเวลา… ♥    เราจะเติบโตด้านความเชื่อมากขึ้นเพื่อรับพระสัญญา หรือล้มเลิกกลางคันแล้วไม่ได้อะไรเลยเพราะไม่ผ่าน 2. บางสิ่งไม่ได้เห็นในรุ่นตนเอง แต่จะตกทอดถึงคนรุ่นหลัง ♥    เราต้องเชื่อก่อนว่า พระเจ้าไม่เคยโกหก ไม่ทรงบิดเบือน… Read More »

อย่าพลาดเพราะกลัวศัตรู

ผวฉ.2:1-5 2:1 ฝ่ายทูตสวรรค์องค์หนึ่งของพระเยโฮวาห์ได้ขึ้นไปจากกิลกาลถึงโบคิมและกล่าวว่า “เราได้ให้เจ้าทั้งหลายขึ้นไปจากอียิปต์และได้นำเจ้าเข้ามาในแผ่นดินซึ่งเราปฏิญาณไว้แก่บรรพบุรุษของเจ้าและเรากล่าวว่า ‘เราจะไม่หักพันธสัญญาที่เราได้มีไว้กับเจ้าเลย 2:2 และเจ้าทั้งหลายอย่าทำพันธสัญญากับชาวแผ่นดินนี้เจ้าต้องทำลายแท่นบูชาของเขาเสีย’ แต่เจ้ามิได้เชื่อฟังเสียงของเราเจ้าทำอะไรเช่นนี้เล่า 2:3 ฉะนั้นเรากล่าวด้วยว่า ‘เราจะไม่ขับไล่เขาเหล่านั้นออกไปให้พ้นหน้าเจ้าแต่เขาจะเป็นเช่นหนามอยู่ที่สีข้างของเจ้า และพระของเขาจะเป็นบ่วงดักเจ้า’” 2:4 อยู่มาเมื่อทูตสวรรค์ของพระเยโฮวาห์กล่าวคำเหล่านี้แก่บรรดาคนอิสราเอลแล้วประชาชนก็ส่งเสียงร้องไห้ 2:5 และเขาเรียกที่ตำบลนั้นว่า โบคิม และเขาทั้งหลายได้ถวายสัตวบูชาแด่พระเยโฮวาห์ที่นั่น แท้จริงพระเจ้าตั้งพันธสัญญากับชนอิสราเอล โดยการยกดินแดนคานาอันทั้งหมดให้กับเขา ปฐก.17:8 และเราจะให้แผ่นดินที่เจ้าอาศัยอยู่เป็นคนต่างด้าวนี้คือบรรดาแผ่นดินคานาอันแก่เจ้าและเชื้อสายของเจ้าที่มาภายหลังเจ้าให้เป็นกรรมสิทธิ์นิรันดร์ และเราจะเป็นพระเจ้าของพวกเขา” แต่เนื่องจากอิสราเอลไม่ได้เชื่อฟังพระเจ้าอย่างสุดใจ ไม่ได้ใช้วิธีการที่พระเจ้าตรัสสั่งอย่างเข้มงวด พวกเขาคิดเอาเองว่า … “นี่ก็เพียงพอแล้ว” การเชื่อฟังพระเจ้าในบางส่วนผสมผสานกับกระบวนการหรือขนบธรรมเนียมปฏิบัติทั่วๆ ไปทำให้ไม่มีผลอะไร  ไม่เกิดสิ่งใดขึ้นตามี่พระเจ้าตรัสไว้แต่แรกเลย ผวฉ.1:24-36 1:24 และผู้สอดแนมเห็นชายคนหนึ่งเดินออกมาจากเมือง จึงพูดกับเขาว่า “ขอชี้ทางเข้าเมืองนี้ให้แก่เรา และเราจะปรานีเจ้า” 1:25 ชายคนนั้นก็ชี้ทางเข้าเมืองให้และเขาประหารเมืองนั้น ทำลายเสียด้วยคมดาบ แต่เขาปล่อยให้ชายคนนั้นและครอบครัวทั้งสิ้นของเขารอดไป 1:27 มนัสเสห์มิได้ขับไล่ชาวเมืองเบธชานและชาวชนบทของเมืองนั้นให้ออกไปหรือชาวเมืองทาอานาคกับชาวชนบทของเมืองนั้นหรือชาวเมืองโดร์กับชาวชนบทของเมืองนั้นหรือชาวเมืองอิบเลอัมกับชาวชนบทของเมืองนั้นหรือชาวเมืองเมกิดโดกับชาวชนบทของเมืองนั้นแต่คนคานาอันยังขืนอาศัยอยู่ในแผ่นดินนั้น 1:28 อยู่มาเมื่อคนอิสราเอลมีกำลังเข้มแข็งขึ้นก็บังคับคนคานาอันให้ทำงานโยธา แต่มิได้ขับไล่ให้เขาออกไปเสียอย่างสิ้นเชิง 1:29 และเอฟราอิมมิได้ขับไล่คนคานาอันผู้อาศัยอยู่ในเมืองเกเซอร์ให้ออกไป แต่คนคานาอันยังอาศัยอยู่ในเมืองเกเซอร์ท่ามกลางเขา 1:30 เศบูลุนมิได้ขับไล่ชาวเมืองคิทโรน หรือชาวเมืองนาหะโลล แต่คนคานาอันได้อาศัยอยู่ท่ามกลางเขาและถูกเกณฑ์ให้ทำงานโยธา 1:31 อาเชอร์มิได้ขับไล่ชาวเมืองอัคโค… Read More »

ความจริงบางประการทำให้คนละทิ้งพระเยซูไป

ยน.6:22-59 6:22 วันรุ่งขึ้น เมื่อคนที่อยู่ฝั่งข้างโน้นเห็นว่าไม่มีเรืออื่นที่นั่น เว้นแต่ลำที่เหล่าสาวกของพระองค์ลงไปเพียงลำเดียว และเห็นว่าพระเยซูมิได้เสด็จลงเรือลำนั้นไปกับเหล่าสาวก แต่เหล่าสาวกของพระองค์ไปตามลำพังเท่านั้น 6:23 (แต่มีเรือลำอื่นมาจากทิเบเรียส ใกล้สถานที่ที่เขาได้กินขนมปัง หลังจากที่องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงขอบพระคุณแล้ว) 6:24 เหตุฉะนั้นเมื่อประชาชนเห็นว่า พระเยซูและเหล่าสาวกไม่ได้อยู่ที่นั่น เขาจึงลงเรือไปและตามหาพระเยซูที่เมืองคาเปอรนาอุม 6:25 ครั้นเขาได้พบพระองค์ที่ฝั่งทะเลข้างโน้นแล้ว เขาทั้งหลายทูลพระองค์ว่า “รับบี ท่านมาที่นี่เมื่อไร” 6:26 พระเยซูตรัสตอบเขาว่า “เราบอกความจริงอันเที่ยงแท้แก่ท่านทั้งหลายว่า ท่านทั้งหลายตามหาเรามิใช่เพราะได้เห็นการอัศจรรย์นั้น แต่เพราะได้กินขนมปังอิ่ม 6:27 อย่า ขวนขวายหาอาหารที่ย่อมเสื่อมสูญไป แต่จงหาอาหารที่ดำรงอยู่ถึงชีวิตนิรันดร์ซึ่งบุตรมนุษย์จะให้แก่ท่าน เพราะพระเจ้าคือพระบิดาได้ทรงประทับตรามอบอำนาจแก่พระบุตรแล้ว” 6:28 แล้วเขาทั้งหลายก็ทูลพระองค์ว่า “ข้าพเจ้าทั้งหลายจะต้องทำประการใด จึงจะทำงานของพระเจ้าได้” 6:29 พระเยซูตรัสตอบเขาว่า “งานของพระเจ้านั้นคือการที่ท่านเชื่อในท่านที่พระองค์ทรงใช้มานั้น” 6:30 เขาทั้งหลายจึงทูลพระองค์ว่า “ถ้าเช่นนั้น ท่านจะกระทำหมายสำคัญอะไร เพื่อข้าพเจ้าทั้งหลายจะเห็นและเชื่อในท่าน ท่านจะกระทำการอะไรบ้าง 6:31 บรรพบุรุษของข้าพเจ้าทั้งหลายได้กินมานาในถิ่นทุรกันดารนั้น ตามที่มีคำเขียนไว้ว่า ‘ท่านได้ให้เขากินอาหารจากสวรรค์’” 6:32 พระเยซูจึงตรัสกับเขาว่า “เรา บอกความจริงอันเที่ยงแท้แก่ท่านทั้งหลายว่า มิใช่โมเสสที่ให้อาหารจากสวรรค์นั้นแก่ท่าน แต่พระบิดาของเราประทานอาหารแท้ซึ่งมาจากสวรรค์ให้แก่ท่านทั้งหลาย 6:33 เพราะว่าอาหารของพระเจ้านั้น… Read More »

การเลือกของพระเยซู

ยน.6:64  แต่ในพวกท่านมีบางคนที่ไม่เชื่อ” เพราะพระเยซูทรงทราบแต่แรกว่ามีผู้ใดบ้างที่ไม่เชื่อ และเป็นผู้ใดที่จะทรยศพระองค์ ยน.6:70-71 6:70 พระเยซูตรัสตอบเขาว่า “เราเลือกพวกท่านสิบสองคนมิใช่หรือ และคนหนึ่งในพวกท่านเป็นมารร้าย” 6:71 พระองค์ทรงหมายถึงยูดาสอิสคาริโอทบุตรชายซีโมน เพราะว่าเขาเป็นผู้ที่จะทรยศพระองค์ คือคนหนึ่งในอัครสาวกสิบสองคน การเลือกของพระเยซู แม้ทรงรู้ว่ายูดาสจะทรยศ ก็ยังคงเลือกไว้เป็นทีมงานติดตัว เพราะจำเป็นต้องเกิดขึ้นเพื่อให้แผนการณ์ของพระบิดาเสร็จสมบูรณ์บนแผ่นดินโลก การเลือกของพระเยซู 1. ทรงรู้ล่วงหน้าถึงสิ่งต้องเกิด และทรงเดินตามน้ำพระทัยพระบิดาล้วนๆ โดยไม่สนใจว่าจะมีผลอะไรกับตนเอง เพราะเชื่อ วางใจ รู้จักพระบิดา ว่าทรงควบคุมเสมอ 2. การรู้สิ่งต่างๆ ล่วงหน้า นั่นแสดงถึงสิทธิขาดอยู่ที่พระบิดา ดังนั้นพระเยซูทรงเดินตาม 100% 3. คนที่ได้รับการสำแดงให้รู้อะไรล่วงหน้า มีหน้าที่เพียงเดินตามและทำให้สำเร็จตามแผนการณ์ของพระบิดาเท่านั้น ทรงเลือกคนเหล่านั้นด้วยเหตุผลนี้   04/06/2014

การสิ้นชีพของโมเสส

พระเจ้าเรียกโมเสสให้นำอิสราเอลออกจากอียิปต์เข้าสู่คานาอัน แสดงว่างานนี้จะเสร็จสิ้นเมื่อได้เข้าคานาอัน แต่ด้วยความผิดพลาดของโมเสส เขาจึงไม่ได้เข้าคานาอัน… แต่ถึงกระนั้นพระเมตตาของพระเจ้าที่มีต่อโมเสสและเห็นแก่ชีวิตที่ทุ่มเทเดินติดตามพระเจ้าของเขาอย่างที่สุด พระเจ้าให้เขาได้เห็นในสิ่งที่พระองค์สัญญาว่าจะให้แก่ชนชาตินี้ และทรงรับเขาไป เขาตายบนภูเขาเนโบ ที่ๆ เขาได้พบกับพระเจ้าและตายในอ้อมกอดของพระเจ้า ทั้งที่ไม่มีใครเห็นเขาเลย พระเจ้าฝังเขาเอง ฉธบ.34:1-12 34:1 และโมเสสก็ขึ้นไปจากที่ราบโมอับถึงภูเขาเนโบ ถึงยอดเขาปิสกาห์ ซึ่งอยู่ตรงข้ามเมืองเยรีโค และพระเยโฮวาห์ทรงสำแดงให้ท่านเห็นแผ่นดินนั้นทั้งหมด คือกิเลอาดจนถึงดาน 34:2 ทั้งนัฟทาลีทั่วหมด เห็นแผ่นดินเอฟราอิม และมนัสเสห์ ทั่วแผ่นดินยูดาห์ ไกลไปถึงทะเลที่อยู่ไกลออกไป 34:3 ทั้งทางใต้และที่ลุ่มในหุบเขาแห่งเมืองเยรีโค เมืองต้นอินทผลัม ไกลไปจนถึงโศอาร์ 34:4 และพระเยโฮวาห์ตรัสกับท่านว่า “นี่คือแผ่นดินซึ่งเราได้ปฏิญาณต่ออับราฮัม ต่ออิสอัค และต่อยาโคบ ว่า ‘เราจะให้แก่เชื้อสายของเจ้า’ เราให้เจ้าเห็นกับตา แต่เจ้าจะไม่ได้เข้าไปในแผ่นดินนั้น” 34:5 เหตุฉะนั้นโมเสสผู้รับใช้ของพระเยโฮวาห์จึงสิ้นชีวิตที่นั่นในแผ่นดินโมอับ ตามพระดำรัสของพระเยโฮวาห์ 34:6 และพระองค์ทรงฝังท่านไว้ในหุบเขาในแผ่นดินโมอับ ตรงข้ามเบธเปโอร์ จนถึงทุกวันนี้หามีผู้ใดรู้จักที่ฝังศพของท่านไม่ 34:7 เมื่อโมเสสสิ้นชีวิตนั้นท่านมีอายุหนึ่งร้อยยี่สิบปี นัยน์ตาของท่านมิได้มัวไป หรือกำลังของท่านก็ไม่ถอย 34:8 และคนอิสราเอลร้องไห้ถึงโมเสสที่ราบโมอับสามสิบวัน แล้ววันที่ร้องไห้ไว้ทุกข์ถึงโมเสสก็สิ้นลง 34:9 โยชูวาบุตรชายนูนมีจิตใจอันประกอบด้วยสติปัญญา เพราะโมเสสได้เอามือของท่านวางบนเขา… Read More »

การทรงเรียกของโมเสส

อพย.3 3:1 ฝ่ายโมเสสเลี้ยงฝูงแพะแกะของเยโธรพ่อตาของเขา ผู้เป็นปุโรหิตของคนมีเดียน และท่านได้พาฝูงแพะแกะไปด้านหลังของถิ่นทุรกันดาร และมาถึงภูเขาของพระเจ้า คือโฮเรบ 3:2 ทูตสวรรค์ของพระเยโฮวาห์ก็ปรากฏแก่โมเสสในเปลวไฟซึ่งอยู่ท่ามกลางพุ่มไม้ โมเสสจึงมองดูและดูเถิด พุ่มไม้นั้นมีไฟลุกโชนอยู่ แต่พุ่มไม้นั้นมิได้ไหม้โทรมไป 3:3 โมเสสจึงกล่าวว่า “ข้าจะแวะเข้าไปดูสิ่งแปลกประหลาดนี้ ว่าเหตุไฉนพุ่มไม้จึงไม่ไหม้” 3:4 และเมื่อพระเยโฮวาห์ทอดพระเนตรเห็นเขาเดินเข้ามาดู พระเจ้าจึงตรัสแก่เขาออกมาจากท่ามกลางพุ่มไม้นั้นว่า “โมเสส โมเสส” และโมเสสทูลตอบว่า “ข้าพระองค์อยู่ที่นี่” 3:5 พระองค์จึงตรัสว่า “อย่าเข้ามาใกล้ที่นี่ จงถอดรองเท้าของเจ้าออกเสีย เพราะว่าที่ซึ่งเจ้ายืนอยู่นี้เป็นที่บริสุทธิ์” 3:6 แล้วพระองค์ตรัสอีกว่า “เราเป็นพระเจ้าของบิดาเจ้า เป็นพระเจ้าของอับราฮัม เป็นพระเจ้าของอิสอัค และเป็นพระเจ้าของยาโคบ” และโมเสสปิดหน้าเสีย เพราะกลัวไม่กล้ามองดูพระเจ้า 3:7 และพระเยโฮวาห์ตรัสว่า “เราเห็นความทุกข์ของพลไพร่ของเราที่อยู่ในประเทศอียิปต์แล้ว และได้ยินเสียงร้องของเขา เพราะเหตุพวกนายงานของเขา ด้วยเรารู้ถึงความทุกข์ร้อนต่างๆของเขา 3:8 และเราลงมาเพื่อจะช่วยเขาให้รอดพ้นจากมือของชาวอียิปต์ และนำเขาออกจากประเทศนั้น ไปยังแผ่นดินที่อุดมกว้างขวาง เป็นแผ่นดินที่มีน้ำนมและน้ำผึ้งไหลบริบูรณ์ คือไปยังที่อยู่ของชาวคานาอัน คนฮิตไทต์ คนอาโมไรต์ คนเปริสซี คนฮีไวต์ และคนเยบุส 3:9 เพราะฉะนั้น… Read More »

ยากอบและยอห์นขอนั่งซ้ายขวาที่บัลลังก์

มก.10:35-40  ยากอบและยอห์นขอนั่งซ้ายขวาที่บัลลังก์ 10:35 ฝ่ายยากอบกับยอห์น บุตรชายของเศเบดี เข้ามาทูลพระองค์ว่า “พระอาจารย์เจ้าข้า ข้าพระองค์ทั้งสองปรารถนาจะขอให้พระองค์ทรงกระทำตามคำขอของข้าพระองค์” 10:36 พระองค์จึงตรัสถามเขาว่า “ท่านทั้งสองปรารถนาจะให้เราทำสิ่งใดให้ท่าน” 10:37 เขาจึงทูลตอบพระองค์ว่า “เมื่อพระองค์จะทรงสง่าราศีนั้น ขอให้ข้าพระองค์นั่งที่เบื้องขวาพระหัตถ์คนหนึ่ง เบื้องซ้ายพระหัตถ์คนหนึ่ง” 10:38 พระเยซูจึงตรัสแก่เขาว่า “ที่ท่านขอนั้นท่านไม่เข้าใจ ถ้วยซึ่งเราดื่มนั้นท่านดื่มได้หรือ และบัพติศมานั้นซึ่งเรารับ ท่านรับได้หรือ” 10:39 เขาทั้งสองทูลตอบพระองค์ว่า “ได้ พระเจ้าข้า” พระเยซูจึงตรัสแก่เขาว่า “ถ้วยซึ่งเราดื่มท่านจะดื่มก็จริง และท่านจะรับบัพติศมาด้วยบัพติศมาที่เรารับก็จริง 10:40 แต่ที่นั่งข้างขวาและข้างซ้ายของเรานั้น ไม่ใช่พนักงานของเราที่จัดให้ แต่ได้ทรงเตรียมไว้สำหรับผู้ใดก็จะให้แก่ผู้นั้น” 10:41 เมื่อสาวกสิบคนได้ยินแล้ว ก็เริ่มมีความขุ่นเคืองยากอบและยอห์น 10:42 พระเยซูจึงทรงเรียกเขาทั้งหลายมาตรัสแก่เขาว่า “ท่านทั้งหลายรู้อยู่ว่า ผู้ที่นับว่าเป็นผู้ครอบครองของคนต่างชาติย่อมเป็นเจ้าเหนือเขา และผู้ใหญ่ทั้งหลายก็ใช้อำนาจบังคับ 10:43 แต่ในพวกท่านหาเป็นอย่างนั้นไม่ ถ้าผู้ใดใคร่จะได้เป็นใหญ่ในพวกท่าน ผู้นั้นจะต้องเป็นผู้ปรนนิบัติท่านทั้งหลาย 10:44 และถ้าผู้ใดใคร่จะได้เป็นเอกเป็นต้น ผู้นั้นจะต้องเป็นผู้รับใช้ของคนทั้งปวง 10:45 เพราะว่าบุตรมนุษย์มิได้มาเพื่อรับการปรนนิบัติ แต่มาเพื่อจะปรนนิบัติ และประทานชีวิตของท่านให้เป็นค่าไถ่สำหรับคนเป็นอันมาก” ยากอบและยอห์นเป็นพี่น้องที่มีความปรารถนาจะได้รับเกียรติและติดตามพระเยซู  คำขอของเขาคือ… “ขอนั่งข้างซ้ายขวาบัลลังก์ของพระเจ้า”… Read More »

เหตุผลที่ต้องวิงวอนต่อรองเพื่อผู้อื่น

เหตุใดที่ผู้วิงวอนบางคนทุ่มเทชีวิตเพื่อต่อรองกับพระเจ้าทั้งที่หลายต่อหลายครั้งไม่ใช่เรื่องของตนเอง เช่น อับราฮัมที่ร้องทูลต่อรองพระเจ้าเพื่อโสโดมโกโมรา , โมเสสที่ต่อรองกับพระเจ้าเพื่อชนอิสราเอล บางครั้งคนเหล่านี้เอาตัวเข้าแลกเพื่อให้พระเจ้าระลึกถึงและหันหลังกลับจากพระพิโรธด้วยพระเมตตาของพระองค์ แม้หลายครั้งพวกเขาเองก็รู้สึกไม่ชอบหรือไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่ได้รับรู้ถึงบาปนั้นด้วยเช่นกัน ดั่งเห็นได้จากอับราฮัมก็เลือกที่จะไม่เอาตัวเข้าใกล้โสโดมด้วย นั่นเพราะเขารู้ถึงบาปนั้นและไม่อยากแม้แต่จะเฉียดเข้าใกล้ด้วยซ้ำ หรือโมเสสเองก็เช่นกัน เขารังเกียจบาปที่ชนอิสราเอลทำจนกระทั่งโกรธบดเอาศิลา 2 แผ่นในมือให้พวกเขากิน และให้เลือกพระเจ้า พวกเขาต่างมีอารมณ์ความรู้สึกของตนเองทั้งสิ้น…แต่เหตุใดพวกเขากลับร้องทูลวิงวอนต่อรองกับพระเจ้าเพื่อบาปที่แม้แต่ตัวเอง ก็ยังรังเกียจ หัวใจเช่นนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร? ปฐก.18:17-33 17 พระเยโฮวาห์ตรัสว่า “เราจะซ่อนสิ่งซึ่งเรากระทำจากอับราฮัมหรือ 18 ด้วยว่าอับราฮัมจะเป็นประชาชาติใหญ่โตและมีกำลังมากอย่างแน่นอน และบรรดาประชาชาติทั้งหลายในแผ่นดินโลกจะได้รับพระพรเพราะเขา 19 เพราะว่าเรารู้จักเขา เขาจะสั่งลูกหลานและครอบครัวของเขาที่สืบมา พวกเขาจะรักษาพระมรรคาของพระเยโฮวาห์ เพื่อทำความเที่ยงธรรมและความยุติธรรม เพื่อพระเยโฮวาห์จะประทานแก่อับราฮัมตามสิ่งซึ่งพระองค์ได้ตรัสไว้เกี่ยวกับ เขา” 20 พระเยโฮวาห์ตรัสว่า “เพราะเสียงร้องของเมืองโสโดมและเมืองโกโมราห์ดังมากและเพราะบาปของพวกเขาก็หนักเหลือเกิน 21 เราจะลงไปเดี๋ยวนี้ดูว่าพวกเขากระทำตามเสียงร้องทั้งสิ้นซึ่งมาถึงเราหรือไม่ ถ้าไม่ เราจะรู้” 22 บุรุษเหล่านั้นหันหน้าจากที่นั่นไปทางเมืองโสโดม แต่อับราฮัมยังยืนอยู่ต่อพระพักตร์พระเยโฮวาห์ 23 อับราฮัมเข้ามาใกล้ทูลว่า “พระองค์จะทรงทำลายคนชอบธรรมพร้อมกับคนชั่วด้วยหรือ 24 บางทีมีคนชอบธรรมห้าสิบคนในเมืองนั้น พระองค์จะทรงทำลายและไม่ละเว้นเมืองนั้นเพราะคนชอบธรรมห้าสิบคนที่อยู่ในนั้นด้วยหรือ 25 ขอพระองค์อย่ากระทำเช่นนี้เลย ที่จะฆ่าคนชอบธรรมพร้อมกับคนชั่ว และให้คนชอบธรรมเหมือนอย่างคนชั่ว ให้การนั้นอยู่ห่างไกลจากพระองค์ ผู้พิพากษาของทั่วแผ่นดินโลกจะไม่กระทำการยุติธรรมหรือ” 26 พระเยโฮวาห์ตรัสว่า… Read More »