สวรรค์ : COME BACK HOME AT THE HEAVEN‏

By | 2014/01/30

บันไดสีขาวถูกปกคลุมด้วยปุยเมฆสีขาว มองดูดั่งหิมะหนา เป็นความขาวสะอาดที่มองดูแล้วสัมผัสความนิ่มนวลอบอุ่น เบาสบาย วิ่งเข้ามาสัมผัสกายและเต็มความรู้สึกภายใน ความสูงทอดยาวไปเรื่อยๆ สุดลูกหูลูกตา มองหาที่สิ้นสุดไม่เจอ บางช่วงของบันไดมีความคดเคี้ยวเพียงเล็กน้อย  ฐานด้านล่างกว้างและค่อยๆ แคบลงเมื่อสูงขึ้นไปจนกระทั่งความกว้างเพียงพอสำหรับการเดินเพียงคนเดียวอย่างสบายๆ มองไปรอบด้านเต็มไปด้วยปุยเมฆหนาทึบที่แสนอบอุ่น… ย้อนมองดูตัวเองเห็นลักษณะการแต่งกายเป็นชุดเจ้าสาวขาวมีชายกระโปรงยาว ยิ่งเดินขึ้นไปสูงเท่าไรชายกระโปรงยิ่งยาวขึ้น แต่ไม่มีการเดินยากเลย ซึ่งต่างจากชุดเจ้าสาวทั่วๆ ไปบนโลกอย่างมากที่เดินลำบาก แต่นี่กลับเดินได้อย่างคล่องตัว ความยาวของชุดไม่เป็นอุปสรรคใดๆ


เสียงตรัสของพระวิญญาณบริสุทธิ์ดังขึ้น “บันไดยิ่งสูงชันเท่าไร แรงต้านทาน แรงเสียดทานยิ่งมากเท่านั้น”
ข้าพเจ้าถามพระองค์ว่า “ยิ่งเดินกับพระองค์มาก ทางก็ยิ่งแคบ เป็นแบบนั้นใช่ไหมคะ”
พระองค์ตรัสว่า “ทางนั้นเป็นทางบนโลกที่นำสู่สวรรค์ ผู้ที่ผ่านพ้นและเดินทางแคบได้ คือผู้ที่จะได้เข้าแผ่นดินสวรรค์ แต่บันไดที่เจ้าเห็นเป็นบันไดเชื่อมแผ่นดินโลกในมิติฝ่ายวิญญาณ (อยู่เหนือจากมิติกายภาพ สูงกว่าขึ้นไปบนย่านฟ้า) ทอดยาวถึง แผ่นดินสวรรค์ ที่ยาวสุดลูกหูลูกตา เพราะแผ่นดินสวรรค์ไม่มีที่สุดสิ้นหรือขอบเขตของแผ่นดิน”
“แล้วเมื่อไรข้าพเจ้าจะได้ไปสวรรค์อีกคะ” ฉันถาม
“เวลานี้เจ้าได้เดินและยืนอยู่บนแผ่นดินสวรรค์แล้ว” พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงตรัส

 

ในขณะนั้นข้าพเจ้ายังคงเดินต่อไปเรื่อยๆ สายตาจับจ้องเป็นที่ปลายทางเท่าที่ตาจะมองได้ไกลที่สุด แม้จะมองไม่เห็นจุดหมายก็ตาม พรางมองไปรอบๆ เพราะได้รับความรู้สึกแบบลึกซึ้งที่อบอุ่น วางใจและปลอดภัยอย่างมาก ข้าพเจ้าเดินไปเรื่อยๆ ในขณะนั้นในมือถือมงกุฏ มีขนาดพอดีกับ 2 มือประคองไว้ มันไม่ได้ใหญ่มาก สีออกส้มทองๆ และไม่รู้ด้วยว่า ได้ถือไว้ในมือตั้งแต่เมื่อไร ในขณะที่เพ่งมองดูมงกุฏในมือพรางเดินไปพราง  ก็เงยหน้าขึ้น ภาพที่เห็นตอนนี้ได้เปลี่ยนไปจากตอนแรกแล้ว คือ จากปุยเมฆกลายเป็นเหมือนดวงอาทิตย์ ที่กำลังตกผืนทะเล แสงสีส้มแสดแรงสวยงามสะท้อนกับผิวน้ำทำให้พื้นที่โดยรอบเปลี่ยนบรรยากาศไปถนัดตา เป็นความรู้สึกอบอุ่นแบบนุ่มลึกและมั่นใจอยู่ลึกๆ ภายใน ความสงบนิ่งแต่เต็มไปด้วยความสุขุมที่มีน้ำหนัก หนักแน่นภายในจิตวิญญาณ มงกุฏในมือมีความสวยงามเหมือนกับแสงที่สะท้อนอยู่ตรงหน้าประหนึ่งว่าเป็นสิ่งเดียวกันอย่างไงอย่างนั้น ข้าพเจ้าเพลิดเพลินกับการซึมซับบรรยากาศและสิ่งที่พบเห็นสัมผัสนี้ ถึงตอนนี้มั่นใจแล้วว่าจุดที่เดินมาถึงตอนนี้เป็นแผ่นดินสวรรค์อย่างแน่นอน

พระเจ้าอธิบายเรื่องงวงช้างที่ได้รับก่อนหน้านี้ให้เข้าใจ..

“ช้างมีลักษณะเด่นเป็นสัตว์ที่ไม่มีความเหมือนกับสัตว์ชนิดอื่น เพราะมันใช้งวงทำทุกสิ่งที่สำคัญ งวงเป็นส่วนของจมูก แต่มันกลับมีความแข็งแกร่งมาก แม้มันจะตัวใหญ่กว่าสัตว์ชนิดอื่น แต่ความแข็งแกร่งมันไม่ได้อยู่ที่เท้ากลับอยู่ที่งวง  งวงไม่ได้ใช้เพียงแค่หายใจ แต่ใช้เพื่อกิน ใช้อาบน้ำ ปัดแมลงที่ก่อความรำคาญ ใช้ทำงานที่หนัก งวงสำคัญสำหรับมันมาก มันสามารถเจ็บป่วยในส่วนอื่นได้โดยไม่เป็นไรมาก แต่เมื่อไรที่งวงเจ็บมันจะมีชีวิตอยู่ได้ลำบากเพราะมันคือทุกสิ่ง แต่งาเป็นตัวบ่งบอกถึงอายุของมันเท่านั้นแม้มันโดนตัดงาทิ้ง มันก็ไม่ตาย ไม่มีผลต่อการใช้ชีวิตของมัน ” พระวิญญาณบริสุทธิ์ตรัสกับข้าพเจ้าอย่างค่อยเป็นค่อยไป
ถึงตอนนี้ข้าพเจ้าเข้าใจจากลึกๆ ภายในแล้วว่าหมายถึงสิ่งใด แต่พระองค์ยังคงตรัสเพื่อให้มั่นใจในสิ่งที่คิดและเข้าใจอย่างชัดเจนไม่คลาดเคลื่อน
“การอธิษฐานก็เหมือนกับงวงช้าง แต่งาช้างคือประสบการณ์” พระวิญญาณบริสุทธิ์ตรัส
ถึงตรงนี้ยิ่งมั่นใจและเข้าใจเข้าไปอีก ว่า…. การอธิษฐานเป็นสิ่งที่มีผลต่อทุกสิ่งและพลังแท้คือการอธิษฐาน ส่วนประสบการณ์แม้ไม่มีหรือถูกใครตัดมันทิ้งก็ไม่มีผลต่อชีวิตเลย มันแค่บ่งบอกถึงอายุ กาลเวลาและการอยู่กับพระเจ้าเท่านั้น ซึ่งแม้มีการตัดทิ้งมันก็จะงอกออกมาใหม่ เพื่อแสดงถึงความสง่าผ่าเผยของมัน เป็นองค์ประกอบที่ทำให้ช้างดูดี งดงาม แต่ไม่มีผลต่อชีวิตของมัน ดังนั้นแม้ถูกตัดสิ่งเหล่านี้ทิ้งพระเจ้าก็จะให้ใหม่อีก ให้ใหม่อีกเรื่อยๆ และมันจะแสดงถึงความงดงามสง่าผ่าเผยในสิ่งที่พระเจ้าได้ทำอะไรต่อเราบ้าง ให้ผู้อื่นเห็น แต่ถึงอย่างไงก็ตามสิ่งสำคัญคือ การอธิษฐานต้องเป็นดังลมหายใจ ไม่ว่าอย่างไร อะไรก็ต้องไม่สามารถมาพรากการอธิษฐานไป รักษาลมหายใจไว้ให้ดี

ไม่เพียงเท่านี้!!

พระวิญญาณตรัสว่า  “เพราะมนุษย์แยกจากความสมบูรณ์และดีแต่แรกเดิมของเรา การประกาศจึงเป็นวีถีที่นำกลับมาสู่ทางที่เราต้ังไว้ หากทุกคนใช้เวลาชีวิตกับการดูแลตนเองและครัวเรือนอย่างดีแล้ว ทุกสิ่งก็จะสมบูรณ์เป็นลำดับตามการสร้างของเรา.. แต่ทุกวันนี้ครอบครัวผิดพลาดจึงทำให้ต้องมีการช่วยเหลือกันและกัน” พระองค์ทรงยิ้มอย่างอบอุ่น และตรัสต่อว่า “แม้คนในครอบครัวเดียวกัน เวลาแห่งแผ่นดินของพระเจ้าก็มาถึงไม่เท่ากัน อย่ารวมคนไว้รอทีเดียว นั่นเป็นความปรารถนาส่วนตัวบนความสัมพันธ์ของเจ้ากับพวกเขา แต่แท้จริงเรามีวิถีและเวลาแห่งแผ่นดินพระเจ้าไปถึงต่างวาระเวลา หากเจ้ามัวกองคนไว้ให้พร้อมกัน จะทำให้เสียขบวนและเสียแรงเปล่าเพราะเจ้าทำเอง”

ข้าพเจ้าดีใจที่ทรงให้ความกระจ่างมากยิ่งขึ้น และรู้สึกละอายพร้อมๆ กับกลับใจในเวลาเดียวกันที่ ..ที่ผ่านมาทำแบบนั้นจริงๆ  ข้าพเจ้าคิดว่าจะสามารถรวบรวมทุกคนในครอบครัวมาทีเดียว ให้เห็นพระเจ้าทีเดียว เป็นเหมือนกับความใจร้อนนี้เร่งรัดพระเจ้าและน่าจะถูก แต่ถึงนาทีนี้ข้าพเจ้าเข้าใจความจริงของพระเจ้าแล้ว

แล้วอยู่ๆ ที่ข้อมือข้าพเจ้าก็มีกำไลข้อมือสีรุ้งใสสะท้อนที่ข้อมือ สวยงามมากอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อนเลยและรู้ว่าอย่างไรโลกนี้คงหาไม่ได้ ทั้งดีใจและตื่นเต้นไปหมด
“พระองค์เจ้าข้า นี่คืออะไรคะ” ฉันถาม ทั้งที่ตื่นเต้น ตื่นตาตื่นใจ และดีใจเป็นที่สุด
“เจ้ารู้หรือไม่ว่า..ทำไมเราถึงให้กำไลข้อมือนี้เป็นรางวัลแก่เจ้า” พระองค์ตรัส
“รางวัลหรอค่ะ?? โอ้ววววววววว ดีใจจังเลยค่ะ” พร้อมกับครุ่นคิดว่าทำไมจึงเป็นกำไลข้อมือ แปลว่าอะไร ใช้เวลาสักครู่ก็ตอบพระองค์ว่า “ไม่รู้ค่ะ คิดไม่ออก”
“มันคือ รางวัลแห่งมือ…เพราะการตอบสนองของเจ้า” พระองค์ตรัสอย่างนุ่มนวลและอ่อนโยน
“จริงหรอค่ะ” ฉันถาม อย่างเนื้อเต้น
“เจ้าทำได้ดีมากแล้ว เราพอใจเจ้ามาก” พระองค์ทรงตรัสด้วยความปลอบโยน
ข้าพเจ้าทรุดลงแทบพระบาทพระองค์ พร้อมกับพูด “พระองค์เจ้าข้า ….ขอเพียงแค่พระองค์พอพระทัยเท่านั้น แม้ต้องจัดการ ต้องตัดใจ ต้องข่มใจกับเนื้อหนังของตัวเอง ความเจ็บปวดอย่างที่สุด แต่พระองค์เจ้าข้า…ข้าพระองค์เคยโวยวาย เคยแคร์มนุษย์และเศร้าใจอย่างมากแทบทนไม่ได้ แต่ตอนนี้รู้แล้วว่าเพียงแค่พระองค์พอพระทัย แค่พระองค์ว่าดีแล้ว มันคือที่สุดเลยค่ะ ที่สุดของชีวิตเลยค่ะ มันไม่เสียแรงเปล่าสำหรับที่ต้องตัดสินใจ”

ในทันใดนั้นก็เห็นภาพของตัวเองยังคงเดินขึ้นบันไดต่อไป  ในมือถือมงกุฏ….เบื้องหน้าคือบันไดที่ยังคงทอดยาวไม่มีที่สิ้นสุดและตรงหน้าคือดวงอาทิตย์ที่กำลังทอแสงสีส้มแสดบนผิวน้ำ…สิ่งที่พระเจ้าทรงสร้างมีชีวิตทั้งสิ้น สักครู่หนึ่ง ก็เห็นภาพซ้อนขึ้นมาตรงหน้า คือ ภาพของสวรรค์ที่เต็มไปด้วยลำธารปลาน้อยใหญ่แหวกว่ายอย่างสนุกสนานและมีอิสระเสรี ก้อนหินน้อยใหญ่มีเสียงดนตรีออกมาจากก้อนหินที่ฟังได้ด้วยจิตวิญญาณ  ต้นไม้ทั้งยืนต้นและไม้ดอก  ทุ่งหญ้าเขียวสดมีน้ำค้างอยู่บนยอดหญ้า ทุกสิ่งดูเหมือนมีชีวิตชีวาไปหมด แม้แต่ก้อนหินที่บนโลกไม่มีชีวิต  ข้าพเจ้ารู้สึกตื่นตาตื่นใจและอัศจรรย์ใจไปหมดกับภาพที่เห็น แล้วจู่ๆ ก็ได้อยู่ท่ามกลางสิ่งเหล่านี้ ไม่ใช่แค่เห็นตรงหน้าแต่ได้เข้าไปยืนอยู่ในสถานที่แห่งชีวิตนี้
พระองค์ตรัสว่า “ทุกสิ่งที่เราสร้างล้วนมีชีวิตและสรรเสริญเรา”

ถึงตอนนี้ข้าพเจ้าเข้าใจเพิ่มมากขึ้นอีกว่าพระเจ้าทรงสร้างแต่สิ่งที่มีชีวิต ทำให้นึกถึงพระคัมภีร์ที่ว่าแม้แต่ก้อนหินก็ยังสรรเสริญพระองค์
ข้าพเจ้าได้กลับมายืนที่บันไดอีกครั้งยังคงเดินเช่นนั้นต่อไปเรื่อยๆ ไม่หยุด

220213

0Shares