Category Archives: ความจริงอีกด้าน

○ ประสบการณ์ตรงบางส่วนเล็กๆ เกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้
¤ สรรค์
¤ นรก
¤ แดนมรณา
¤ ทูตสวรรค์

สวรรค์ : ครั้งแรกที่ได้มาเยือน

ณ หาดทรายขาวละมุนแสงแดดดูเหมือนเป็นใจให้เคลิบเคลิ้ม อยากจะแผ่กายนี้ลงบนผืนทรายเสียเหลือเกิน มันดูสะอาดสะอ้าน เม็ดทรายที่ขาวละเอียดจนสัมผัสถึงความนุ่มที่ฝ่าเท้า ไม่หยาบกร้านเหมือนเช่นเคยไปทะเลที่ใดๆ มา สุดสายตามองไม่เห็นเส้นตัดขอบน้ำและขอบฟ้า เสมือนว่าจะกลืนเป็นหนึ่งเดียวกันก็ไม่ปาน ข้าพเจ้าเดินไปเรื่อยๆ ไม่เร่งรีบ แช่ตัวเองเพื่อดื่มด่ำบรรยากาศรอบๆ ตัว ข้าพเจ้าหยุดเดิน… เบื้องหน้าถัดเข้าไปในทะเลไม่ลึกสักเท่าไร มีเรือลำหนึ่งจอดอยู่ … ลักษณะเรือ เป็นเรือลำเล็กๆ สีขาวสวยงาม ขนาดพอนั่งได้ 2-3 คนสบายๆ ไม่มีเครื่องยนต์ใดๆ ข้าพเจ้านึกเอะใจอยู่ครู่หนึ่ง ว่า…. นี่คือเรือใครหนอ มาจอดตรงนี้ เพราะเมื่อมองไปทั่วบริเวณ ที่นี่มีแต่ท้องฟ้าที่ปลอดโปร่ง แสงแดดที่อ่อนละมุน ลมบางๆ ที่พัดมาปะทะหน้าเอื่อยๆ แผ่นน้ำและผืนทรายสุดลูกหูลูกตา สงบเงียบ ไม่น่าจะมีใครอยู่ ณ ที่แห่งนี้ได้เลย เมื่อพิจารณาจากบรรยากาศโดยรอบแล้ว ข้าพเจ้ารู้ดีแก่ใจและรู้ตัวด้วยว่า นี่คือ การได้เข้ามาในนิมิตที่พระเจ้าให้แก่ข้าพเจ้า … ข้าพเจ้าจึงไม่ช้าอยู่ที่จะหยิบฉวยและดื่มด่ำอย่างเต็มที่ ด้วยอิสรภาพและเสรีภาพที่ได้รับ แต่ในขณะที่กำลังมีความสุขอย่างที่สุด เสมือนว่าได้ครอบครองที่นี่แต่ผู้เดียว ทุกสิ่งต้องชะงัก เมื่อหูของข้าพเจ้าได้ยินเสียงที่คุ้นเคยเป็นอย่างดี “จงขึ้นเรือมากับเรา” นั่นคือเสียงตรัสของพระองค์ที่ข้าพเจ้ารู้จักเป็นอย่างดี พระเยซูเจ้านั่นเอง ข้าพเจ้าหันมองซ้ายขวาว่าทรงอยู่ที่ไหน เสียงเรียกดังขึ้นอีกครั้ง “จงขึ้นเรือมากับเรา”… Read More »

นรก : พื้นที่ระหว่างนรกกับสวรรค์

♥ หัวใจที่รู้สึกหนักหน่วง เหมือนอยากจะร้องไห้และอึดอัด พระเยซูทรงปรากฏอยู่เบื้องหน้า ข้าพเจ้าหยุดร้องไห้ แล้วบอกพระองค์ว่า : “จะไปต่อไหวไหมคะ ข้าพระองค์ยังไม่อยากหยุด อยากไปต่อทุกที่ทุกสิ่งที่ทรงพาไป นำไป ทรงอยู่ด้วย” แต่มันเหนื่อยล้าเสียเหลือเกิน พระเยซูทรงเดินต่อไปข้างหน้าทันที ข้าพเจ้ารีบลุกขึ้นก้าวเท้าออกไป ด้วยกลัวว่าจะต้องอยู่แต่ลำพัง ณ ที่แห่งหนึ่งมองไปเบื้องหน้าสุดสายตาเห็นแต่เขาหัวโล้นสีน้ำตาล แลดูแสนแห้งแล้ง ร้อนผ่าวๆ ระอุมาตามลมปะทะใบหน้า ณ จุดที่ยืนเป็นเพียงไอปลายๆ ที่พัดมาจากเขาลูกนั้น ยังสัมผัสได้ขนาดนี้ ทำให้รับรู้ทันทีว่าที่เขาหัวโล้นเบื้องหน้านั้นต้องเต็มไปด้วยความร้อนที่แสนทรมานเป็นแน่ ภายในข้าพเจ้ารู้ทันทีว่าที่นั่นคือ … นรก…  ท้องฟ้าที่ปกคลุมส่วนเขาลูกนั้นทมึนๆ เหมือนเวลาฝนจะตก ขมุกขมัว ไม่มีแสง มีแต่ความทมึนทึม แต่ท้องฟ้าในฝั่งที่ข้าพเจ้ายืนก็สว่างเป็นปกติเหมือนกลางวัน ไม่ร้อนมาก เสียงกรีดร้องโหยหวนดังสนั่นกึกก้องสะท้อนไปทั่วดินแดนนั้น เสียงเหล่านั้นทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกได้ด้วยภายในว่า ต้องการความช่วยเหลือเป็นอย่างมาก เสียงเหล่านั้นฟังไม่ได้ศัพท์ แม้จะอยู่ไกลมากแต่ก็ดังระงมจนแสบแก้วหูไปหมด เป็นเสียงที่ไม่น่าฟัง แต่ข้าพเจ้ามองไม่เห็นแหล่งที่มาของเสียง รู้แต่ว่ามาจากข้างในเขาหัวโล้นลูกนั้น จากเขาหัวโล้นจนถึงจุดที่ข้าพเจ้ายืนมีหุบเหวลึกไม่มีที่สิ้นสุดกั้นอยู่ ระยะห่างระหว่างเขาลูกนั้นถึงจุดที่ข้าพเจ้ายืนช่างห่างไกลกันจนไม่สามารถมีใคร หรือสิ่งใดข้ามมาได้ พระเยซู : “ใครหรือจะข้ามมาได้ มันช่างห่างไกลจนกระทั่งไม่มีใครสามารถข้ามมาได้ เหวลึกไม่มีที่สิ้นสุดขวางกั้นทางไว้ ผู้พยายามหลีกหนีจากนรกก็ทำไม่ได้ เขาจะตกลงไปในเหวนั้นและกลับสู่นรกนิรันดร แม้สัตว์ปีกก็ไม่สามารถบินข้ามฝั่งมาด้วยยาวไกลเกินกำลัง… Read More »

แดนมรณา : ทำไมต้องเถียงและต่อรอง กับการท่องแดนมรณา‏

ปกติเวลาที่พระเจ้าให้ข้าพเจ้าทำอะไร หรือสำแดงอะไรกับข้าพเจ้าที่ต้องทำร่วมด้วยกับพระองค์ ข้าพเจ้ามักมีคำถามเสมอ ?? จริงหรอคะ..พระองค์จะให้ข้าพระองค์ทำจริงๆหรอ  แล้วคนอื่นหละ ไม่เห็นมีใครทำเลย ?? ทำแล้วจะเป็นไง…ถ้าทำแล้ว ผลออกมาจะเป็นไง ?? อีกเดี๋ยวสิ…ถ้าพระองค์ต้องการให้ข้าพระองค์ยืนจริงๆ ทั้งที่ทุกคนนั่งนมัสการกันหมด ก็ให้เพลงนี้วนอีกสักครั้ง…เมื่อวนแล้วก็ต่อรองอีกว่า อีกสักรอบ..สุดท้ายก็ยอมทำ แต่กว่าจะยอมทำก็ โน่นนี่ ไปเรื่อย บางครั้งก็ต่อรองและบางเวลาก็ไปไกลถึงเถียง…เพราะเหตุผลเดียว คือ ต้องทำจริงๆหรือ?? แม้ข้าพเจ้าจะต่อรองกับพระเจ้าเพียงใด…แต่สุดท้ายก็ต้องยอมตอบสนองอยู่ดี….ไม่รู้เหมือนกันว่าจะต่อรองไปทำไม อิดออดไปเพื่ออะไร แทนที่จะทำในทันที สิ่งเหล่านี้เป็นเหมือนสิ่งที่ขวางกั้นความลึกลงไปในความสัมพันธ์กับพระเจ้าตามขนาดที่พระองค์ต้องการในชีวิตของเรา ลึกๆ ข้าพเจ้ารู้มาตลอดว่า ควรตอบสนองแบบทันที เพราะช่วงเวลาที่มัวแต่นั่งยืดเยื้ออ้อยอิ่งอยู่นั้นจะมีบางสิ่งที่กำลัง เคลื่อนไปเรื่อยๆ มันเป็นการเสียเวลาเปล่าๆ และสิ่งนี้ก็ไม่หลุดสักที ทั้งสร้างวินัยก็แล้ว  ทั้งอธิษฐานทั้งเปลี่ยนความคิดก็แล้ว… ….และอยู่มาวันหนึ่ง…. ….. พระเจ้าได้นำข้าพเจ้าไปที่แดนมรณา ในขณะที่หลับ…ข้าพเจ้าเห็นพระเยซูกำลังเดินนำหน้าข้าพเจ้าแล้วตรัสว่า : “ไปด้วยกัน” ข้าพเจ้าเดินตามหลังพระองค์โดยที่มือของข้าพเจ้าจับที่ชายเสื้อสีขาวยาวเลยเข่าของพระองค์ไป ข้าพเจ้าก้มหน้าแล้วพยายามซุกหน้าตัวเองไว้ที่หลังของพระองค์ หลับตาปี๋ ไม่กล้าแม้แต่จะลืมตาหรืออยากรู้อยากเห็นอะไรรอบๆตัวเลยแม้แต่น้อย  สิ่งที่สัมผัสได้คือ ความอึมครึม ความน่ากลัว ความอึดอัด พระเยซูเดินไปข้างหน้าด้วยความมั่นคง ไม่สนใจต่อสิ่งรอบข้าง ไม่สิ!!..สิ่งรอบข้างไม่มีผลต่อพระองค์ต่างหาก!! พระองค์ยังคงเดินต่อไป โดยไม่หันหลัง หรือแม้แต่จะมองไปทางไหนเลย…และตัวข้าพเจ้าก็พยายามเดินตามพระองค์ติดๆ ไม่ทิ้งช่วงห่าง… Read More »

ทูตสวรรค์ : พระเยซูกับทูตสวรรค์ทั้ง 4‏

ครั้งนึงข้าพเจ้าเคยอยู่ในสภาวะที่รู้สึกว่า … ?? ทำไมมีแต่เราที่ยืนอยู่ตรงนี้ ?? สงครามนี้จะมีใครสักคนร่วมด้วยไหม ?? จะผ่านมันไปได้อย่างไร ย่านฟ้าที่เต็มไปด้วยสิ่งที่เกินตัว เป็นเราจริงๆ หรือที่ต้องอยู่ตรงนี้ ?? ถ้าเรายังคงสู้ต่อไป ใครกันที่จะดูแลและช่วยเหลือส่วนอื่นๆ ของชีวิตเรา พ่อแม่พี่น้อง ความเป็นอยู่ของเรา… ….. ความรู้สึกที่อยากให้ทุกอย่างผ่านไปและจบสิ้น การเร่งรัดเกิดขึ้น แม้รู้ว่ายังไม่ใช่เวลาและพระองค์ยังทำการของพระองค์ไม่เสร็จในเรา…. อยู่มาวันนั้น ขณะที่ข้าพเจ้าร้องเรียกหาพระองค์…. ข้าพเจ้าเห็นพระเยซูเสด็จมาเยี่ยมข้าพเจ้า ครั้งนี้ทรงมาพร้อมกับทูตสวรรค์ที่ยืนอยู่ด้านหลังของพระองค์อีก 4 ตน (แต่ใบหน้าของทูตสวรรค์ทั้ง 4 ช่างดูเศร้าเหลือเกิน) พระเยซู ตรัสกับข้าพเจ้าว่า : “เรารู้ว่าเจ้าเหนื่อย แต่ใจของเจ้าไม่อาจละทิ้งเราไปได้ นี่แหนะ เรามีความจริงบางอย่างที่เจ้าไม่เคยรู้จะบอกแก่เจ้า ทูตสวรรค์ทั้ง 4 ทำงานร่วมกับเจ้า เขาทำงานได้เมื่อเจ้าลุกขึ้นและเขาจะทำไม่ได้เมื่อเจ้าไม่ลุกขึ้นหรือก้าวไป เพราะทูตสวรรค์ทั้ง 4 มีหน้าที่ตามนี้คือ 1. ทูตสวรรค์แห่งการปกปักรักษา >> ผู้ดูแลบุคคลที่เจ้ารัก วัตถุที่เราให้หรือสิ่งต่างๆ ที่เจ้าเป็นกังวลว่าผู้ใดจะดูแล เรานี่แหละเป็นพระเจ้าที่ตั้งทูตตนนี้ไว้ดูแลสิ่งเหล่านั้น 2. ทูตสวรรค์แห่งการเสริมแรง >> เมื่อเจ้าหมดแรงหรืออ่อนแรงจากการสู้รบในย่านฟ้า… Read More »

สวรรค์ : การเปิดเผยเพื่อปี 2013

เมื่อประตูบานใหญ่กว่าตัวหลายสิบเท่า (ขนาดที่แม้เอาคนหลายสิบคนมาดันก็ไม่รู้มันจะเปิดออกได้อย่างไร)ได้เปิดออกเอง ตัวที่แสนจิ้ดริดอย่างข้าพเจ้าก็ชะโงกหน้าผ่านช่องประตูที่เปิดออกเข้าไปดูว่าข้างในเป็นอย่างไร แต่กลับมองไม่เห็นอะไรเลยนอกจากความมืดสนิท ครั้นจะถอยหลังก็ได้ยินเสียงดังกึกก้องว่าภายในประตูนั้นดังสวนออกมา “จงก้าวเข้ามา” เสียงนี้ดังกังวานจนชัดเจนมาก ใจหนึ่งของข้าพเจ้าคิดว่าไม่เห็นมีอะไรเลยจะก้าวเข้าไปทำไม มืดก็มืดมองอะไรก็ไม่เห็น แต่ไม่สามารถปฏิเสธเสียงนั้นได้ นอกจากจะดังกึกก้องแล้วยังชัดเจน เป็นเสียงที่คุ้นเคยที่ตัวข้าพเจ้าเองมักได้ยินเสมอๆ และมั่นใจว่าเสียงนี้เป็นมิตร นั่นคือ เสียงขององค์พระเยซู ผู้ที่เรานั่งคุยกันอยู่ทุกๆวัน ผู้ที่เราสัมพันธ์กันทุกๆ เวลา รู้และมั่นใจเช่นนั้นแล้ว จึงตัดสินใจก้าวเท้าเข้าสู่ประตูบานใหญ่ที่ภายในมองเข้าไปอัดแน่นไปด้วยความมืด… ทันทีที่เท้าของข้าพเจ้าก้าวเข้าสู่พื้นที่ด้านในของประตูความมืดก็ได้มลายหายไปอย่างอัศจรรย์ แล้วการปกคลุมด้วยหมอกหนาทึบสีขาวขุ่นมัวก็แทนที่ สายน้ำหลั่งไหลมาจากไหนไม่รู้ทุกทิศทางเข้ามาสัมผัสกับปลายเท้าค่อยๆ เพิ่มระดับจากปลายเท้าขึ้นมาจนกระทั่งมิดกระตุ่มและเลยมาประมาณเกือบครึ่งน่อง สายน้ำนี้ช่างใสเหลือเกินใสจนกระทั่งเห็นแม้แต่เส้นเลือดที่ขาและเท้าของตัวเองอยู่ในน้ำ ความรู้สึกเย็นสบายและสดชื่นได้เข้าแทนที่ความลังเล ข้าพเจ้ายืนแช่อยู่อย่างนั้นโดยไม่ขยับเขยื้อนไปไหนทั้งสิ้น สักพักก็ได้ยินเสียงเรียกดังขึ้นอีกครั้ง “ลูกหญิงของเราเอ๋ย จงก้าวเข้ามาอีก” เสียงพระเยซูทรงตรัสอีกครั้ง แต่ยังมองไม่เห็นพระองค์เลย ด้วยเมฆหมอกที่ปกคลุมอยู่รายรอบตัวจนมองไม่เห็นทางข้างหน้าเลยนอกเสียจากเวลาที่ก้มมองดูน้ำที่เท้าของตนเองเท่านั้นที่ชัดเจน แต่คราวนี้ข้าพเจ้าไม่อิดออดเลย ก้าวออกไปด้วยความมั่นใจว่าจะตามเสียงนั้นไปจนถึงต้นทางของเสียงเรียก ทันทีทันใดที่เริ่มก้าวเท้าออกทางข้างหน้าที่ปกคลุมไปด้วยเมฆหมอกก็ถูกแหวกออกและเปลี่ยนเป็นทอแสงสีทองเหลืองส้มอร่ามดุจดังดวงอาทิตย์ที่กำลังขึ้นจากภูเขาและเส้นขอบทะเล แต่ความสว่างนั้นสดใสกว่าหลายร้อยหลายพันเท่า เป็นแสงสีทองที่ทอตามเส้นทางทำให้เห็นเส้นทางที่จะก้าวเดินออกไปได้อย่างชัดเจน ไม่เพียงเท่านั้นข้าพเจ้าก้มหน้ามองดูที่สายน้ำ สายน้ำใสปิ้งได้กลายเป็นสายน้ำสีทองที่เป็นเหมือนทองคำที่กำลังถูกหลอมอยู่ในเตาไฟ แต่มันไม่ร้อนเลยสักนิดกลับรู้สึกเย็นสบายและโล่งกว่าเดิมเสียอีก คราวนี้แหละการก้าวต่อไปก็เต็มไปด้วยความมั่นใจ มองไปข้างหน้าเห็นร่างคนๆ หนึ่งกำลังยืนรออยู่ ….นั่นเอง!! ต้นเสียงที่ร้องเรียกให้ข้าพเจ้าก้าวเข้าไปหา องค์พระเยซูทรงยืนรอด้วยรอยยิ้มที่แสนอบอุ่น ใบหน้าของพระองค์บ่งบอกว่ารักและภูมิใจในตัวของข้าพเจ้ามาก แม้จะยังไม่มีคำพูดใดๆ ออกมาจากปากของพระองค์อีกครั้ง แต่เวลานั้นเองที่ข้าพเจ้าเร่งฝีเท้าอยากไปให้ใกล้และถึงพระองค์เร็วยิ่งขึ้น แต่อีกใจนึงก็รู้สึกถึงความสบายและอบอุ่นอยากจะแช่อยู่อย่างนี้ อยากจะนั่งลงแทนการก้าวเดินเสียจริงๆ แต่ก็ไม่สามารถหยุดเท้าของตัวเองได้เพราะใจมันปรารถนาและพุ่งตรงไปที่พระเยซูเป็นที่เรียบร้อยแล้ว อีกทั้งบังคับให้ฝีเท้ายิ่งเร่งๆเข้าไป… Read More »

สวรรค์ : บัลลังก์พิพากษา

ขณะนี้ข้าพเจ้าได้ยืนอยู่ด้านหลังบัลลังก์พิพากษา ทันทีที่รู้ตัวว่าตัวเองยืนอยู่ตรงนี้ก็เริ่มพยายามจะขยับตัวเพื่อไปอยู่ในส่วนที่คนอื่นเขายืนกัน แต่เสียงอันหนักแน่นขององค์พระผู้เป็นเจ้าดังขึ้น “เจ้าจงยืนอยู่ตรงนั้น และมองดูสิ่งที่เราจะให้เจ้าเห็นกับตา เจ้าสามารถนำความเหล่านี้ไปบอกผู้คนได้ถึงสิ่งที่เจ้ามองเห็น” องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัส… ในขณะที่ข้าพเจ้ายืนอยู่ด้านหลังบัลลังก์มองเห็นเพียงเบื้องหลังพนักพิงของบัลลังก์ที่ใหญ่โตและน่าเกรงขามสะท้อนออกมา เท้าก็อ่อนแรงด้วยเหตุที่ใจภายในยำเกรงและสั่นกลัวว่าตนเองยืนอยู่ผิดที่ผิดทาง เนื่องจากครั้งหนึ่งข้าพเจ้าเคยมาที่หน้าบัลลังก์นี้แล้ว  แต่การมาครั้งนั้นข้าพเจ้าได้ยืนอยู่เบื้องล่างต่อหน้าองค์พระผู้เป็นเจ้าแบบตัวต่อตัวและรายล้อมไปด้วยบรรดาทูตสวรรค์ แต่ครั้งนี้แตกต่างออกไปโดยสิ้นเชิง เวลานี้สิ่งที่ตาเห็น บวกกับใจที่สั่นคร้ามภายใน ทำให้ร่างกายทรุดลงถึงดิน ขาที่เปลี้ยด้วยหมดแรง ทูตสวรรค์ 2 ตนเข้ามาประคองแขนข้าพเจ้าให้ลุกขึ้นยืนและกล่าวข้างหูเบาๆ ว่า “อดทนไว้ และมองดูทุกรายละเอียดให้มากที่สุด องค์พระผู้เป็นเจ้ากำลังจะเปิดเผยกับท่าน”… ข้าพเจ้าใช้เวลาสักครู่ในการพยายามวางความกลัวลง และพยายามพยุงตัวให้ยืนให้มั่น แต่ถึงกระนั้นขาก็ยังคงเปลี้ย ทูตสวรรค์ทั้ง 2 ยังคงพยุงแขนทั้ง 2 ข้างของข้าพเจ้าทั้งซ้ายขวา จนกระทั่งขาข้าพเจ้าเริ่มมาเรี่ยวแรงมากขึ้นๆ พอจะพยุงตัวเองอยู่ ข้าพเจ้าพยายามสอดส่ายสายตากวาดมองไปรอบๆ และเก็บรายละเอียดในองค์ประกอบต่างๆ ที่ตาเห็นให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้  ภายในรับรู้ได้ทันทีว่ากำลังที่ทำให้สามารถยืนอยู่ได้ในขณะนี้มาจากองค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ประทับอยู่เบื้องหน้าของข้าพเจ้า ใจภายในภาวนาแต่เพียงว่า “นี่แค่ด้านหลังยังขนาดนี้เลย โอ้ววว ช่วยข้าพระองค์ด้วย โปรดเถิด โปรดด้วย อย่าปล่อยข้าพระองค์ไว้” สิ่งที่เห็นเป็นดังนี้ ผู้คนจำนวนมากใส่ชุดสีขาวโพลนดูสว่างไสวสวยงามไปหมดยืนอยู่เต็มพื้นที่เบื้องล่างหน้าบัลลังก์ ความขาวนั้นสะท้อนออกมา แวววาวระยิบเป็นประกายสีขาวสว่างไสว ดั่งมีเรืองแสงได้ด้วยตัวมันเอง ข้าพเจ้าพยายามเปรียบเทียบความขาวเหล่านี้จากโลก แต่ก็หา ใดๆ ในโลกมาเปรียบเพื่ออธิบายก็ไม่ได้   ความขาวสว่างไสวของชุดที่แต่ละคนใส่ไม่เท่ากัน… Read More »

นรก : ใครหรือจะรอดได้

? คนไม่เชื่อเท่านั้นหรือที่ไม่รอด ? คนไม่เชื่อแล้วเป็นคนดีหละ เขาจะได้รับโอกาสอะไรบ้าง ? คริสเตียนที่เลวร้ายกว่าคนไม่เชื่อก็มี แล้วเขาจะรอดหรือ นรกที่ๆ ไม่มีใครอยากไป และกลัวที่จะไป แต่มันกลับเป็นสถานที่นิรันดรเฉกเช่นเดียวกับสวรรค์ ระยะเวลาความยาวนานคือไม่มีที่สิ้นสุด นั่นคือ บทสุดท้ายแล้ว เหตุที่พระเจ้าสร้างนรกสวรรค์ เพราะพระเจ้าไม่ทำลายล้างสิ่งที่ทรงสร้างให้หายไป แต่ทรงกำหนดทุกสิ่งที่บั้นปลาย มีที่ลง ที่ยืนและตำแหน่งอย่างชัดเจน ผ่านโลกซึ่งเป็นตัวชี้เล็งปลายทางที่ต้องยืน แต่คนจำนวนมากมายมหาศาลที่ดำเนินชีวิตเสมือนว่าโลกนี้คือนิรันดร ไม่สนใจบั้นปลายแห่งชีวิตอีกเลย ไม่เพียงคนไม่เชื่อเท่านั้น แต่ถึงกระนั้นคริสเตียนผู้รู้ความจริงอย่างแจ่มแจ้งกระจ่างแท้ หรือรู้งูๆ ปลาๆ ก็ยังคงมีจำนวนมากที่เป็นเช่นนั้น ? คนไม่เชื่อเท่านั้นหรือที่ไม่รอด พระเจ้าทรงยุติธรรมต่อทุกคน เพราะทรงเป็นพระเจ้าสำหรับทุกคน มีใครหรือที่พระเจ้าไม่ได้สร้าง ไม่ได้ตั้งใจให้เกิดมา มีใครหรือที่พระเจ้าผิดพลาดในตัวเขา ดังนั้นความรักของพระเจ้าย่อมมีถึงทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน แต่การเชื่อพระเยซูเป็นประตูด่านแรกพาคนมาสู่ความรอด เพราะด้วยว่าไม่มีใครดีพร้อมจนถึงขนาดที่จะคู่ควรต่อแผ่นดินของพระเจ้า และแน่นอนว่าการพิพากษาไม่ได้มีถึงเฉพาะคนไม่เชื่อเท่านั้น บัลลังค์ขาวสำหรับบำเหน็จรางวัล >> คนที่ยืนอยู่ถึงบัลลังค์นี้คือคนที่ถูกคัดเลือกเข้าสู่แผ่นดินสวรรค์เป็นแน่ บัลลังค์การพิพากษาเป็นที่ๆ คัดแยกคนลงสู่นรก >> คนที่ยืนอยู่ที่บัลลังค์นี้ มี 2 ประเภท 1.    คนไม่เชื่อ 2.    คริสเตียนที่พระบิดาตรัสว่า “เราไม่รู้จักเจ้า” ?… Read More »

นรก : คนที่จะอยู่ในนรก

พวกเขาไม่กลับใจ ร้องโอดครวญเพียงเพื่อต้องการพ้นจากที่นั่งอันแสนลำบากยากเข็ญของเขา แต่หากลับใจไม่ คนพวกนี้ ไม่มีแม้แต่ใจสำนึกผิด เขาเริงร่าระบำกับความบาปชั่ว หาที่สิ้นสุดไม่ได้ การดื่มกินของเขาออกมาจากการทำลายสิ่งรอบข้าง และทำร้ายผู้คนเพื่อประโยชน์แห่งบาปอันหอมหวนของพวกเขา แม้ต่อเวลายืดออกไป เขาก็จะไม่กลับใจ แม้เขาออกมาได้ เขาก็จะทำเช่นเดิม “เพราะเรายุติธรรมและอุดมด้วยความรัก มีหรือ? ที่เราไม่ยุติธรรมต่อใครสักคน หากแต่…พวกเขาไม่ยอมกลับใจ ไม่ใช่ผิดพลาด หากแต่…พวกเขาชื่นชอบบาป หาใช่หลงทาง หากแต่…พวกเขาโง่งม ไม่ยอมแม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมาหาเราหรือละสายตาจากบาปที่เขากำลังตะกละตะกลามกินเข้าไปดุจดั่งอาหารเลอเลิศของเขา พวกเขาดูหมิ่นความบริสุทธิ์ว่าเป็นเรื่องโง่งมงาย พวกเขามองว่าตนเองสูงส่งเกินกว่าจะสนใจความเมตตาจากเรา นี่แหนะ!!! เพราะเราค้นหาทุกๆ ทางแห่งการกลับใจใหม่ไม่เจอจากพวกเขาต่างหาก ที่นั่นคือ นรก ที่เขาต้องอยู่” พระเยซูตรัสกับข้าพเจ้า ในขณะที่ข้าพเจ้ากำลังรวบรวมสติและพุ่งความสนใจเพื่อเก็บทุกถ้อยคำของพระองค์ ข้าพเจ้าภาวนาภายในว่า : “ขอทรงช่วยด้วย ขอเมตตาด้วย ให้เข้าใจด้วย ช่วยด้วย” พระเยซูทรงมองข้าพเจ้าด้วยสายตาอ่อนละมุนแต่หนักแน่นเหลือเกิน ประหนึ่งว่า แค่ฟังและรับเท่านั้นเป็นพอ     ข้าพเจ้ามองเห็นพวกเขาทนไม่ได้กับความร้อนระอุ เหม็นไหม้ น่าขยะแขยง เพราะแม้ที่นั่น  พวกเขาก็แก่งแย่ง เหยียบย่ำซึ่งกันและกัน ทำร้ายกันและกัน หวังเพียงให้ได้ออกจากสภาพนั้นเพียงแค่ชั่วแว็บก็ยังดี แต่เขาก็ยังคงทำไม่ได้ พระเยซูทรงตรัสต่อไปว่า “โอ้…. เราตรวจดูใจ เราหยั่งลึกเกินกว่ามนุษย์จะคิดได้… Read More »

ทูตสวรรค์ : ครั้งแรกกับการเห็นทูตสวรรค์‏

วันนั้นเป็นวันที่บรรยากาศหลายๆ อย่างดูเศร้าสร้อย ทุกคนต่างเหนื่อยล้าจากการงานและสภาวะต่างๆ ที่เผชิญกันมา เมื่อถึงเวลานมัสการ … การนมัสการเริ่มขึ้นสักครู่หนึ่ง ข้าพเจ้าได้ยินเสียงบางอย่างดังพรึบพรับอยู่ข้างหู จึงลืมตาขึ้นมอง(เป็นปกติที่ข้าพเจ้าจะหลับตานมัสการ) สิ่งที่ปรากฏอยู่ตรงหน้า คือ…สิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่ง 2 ตัว สูงใหญ่มาก ใหญ่จนคับบ้านเลยทีเดียว   ลักษณะเป็นดังนี้ ลำตัวเหมือนคน หน้าเหมือนคน ตามีแสงออกมา จ้องมองด้วยความเคร่งขรึมและดุดัน มีปีก 6 ปีก 2ปีกคลุมเท้า 2ปีกปิดตา (ที่เขาปิดตาแล้วข้าพเจ้ายังเห็นดวงตาเขา เป็นเพราะมีเสี้ยวนาทีหนึ่งที่เขาหันมามองข้าพเจ้า) 2ปีกเก็บคำอธิษฐานของพวกเราที่อยู่ ณ ที่นั่น พวกเขาเก็บคำอธิษฐานของบางคนในพวกเรา และเลือกเก็บแค่บางคำอธิษฐานเท่านั้น ไม่ใช่ทุกคนที่เขาจะเก็บคำอธิษฐาน และไม่ใช่ทุกคำอธิษฐานที่เขาเก็บ  เขาทำเช่นนั้นไปเรื่อยๆ …   ในขณะนั้นทุกคนกำลังนมัสการกันอยู่ตามปกติ ส่วนข้าพเจ้าได้แต่นั่งอึ้ง ไม่กล้าขยับเขยื้อนตัว ไม่กล้ากระดิก ไม่กล้าแม้แต่จะนมัสการหรืออธิษฐานต่อด้วยซ้ำ พยายามที่จะหายใจให้เบาที่สุด บางครั้งก็กลั้นหายใจ ด้วยเกรงว่าเขาจะหันมาเห็นข้าพเจ้านั่งมองอยู่ มันตะลึงและงงงวยกับสิ่งที่เห็น ไม่รู้ว่ามันคืออะไร? แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเห็นมันด้วยตาทั้งสองข้างของข้าพเจ้าเอง  พวกเขาหันมามองข้าพเจ้าเป็นพักๆ ….   หลังจากการนมัสการสิ้นสุดลง…. ข้าพเจ้าก็ได้แต่นิ่งเงียบพูดอะไรไม่ออก เพราะยังคงตกตะลึงกับสิ่งที่ตาเห็นอยู่… Read More »