เราให้เกียรติพระองค์..เท่ากับที่ทรงให้เกียรติเราหรือไม่???‏

By | 2013/12/13

เป็น ที่แน่นอนว่า เราคงไม่สามารถทำสิ่งใดๆให้พระเจ้าได้เท่าที่ทรงทำให้เรา แต่บางครั้งความสัมพันธ์ของความเป็นเพื่อนไม่ได้ชั่งที่ใครให้ใครก่อน ใครให้มากกว่ากัน แต่ต่างมีความสุขที่ได้ให้ ต่างเต็มอิ่มเมื่ออีกฝ่ายได้รับสิ่งดี สามารถอุ่นใจได้ว่ามีคนที่รู้ใจ สามารถนั่งยิ้มได้เมื่อนึกถึง….นั่นแหละที่พระเจ้าต้องการจากเรา….

ในเวลาบ่อยครั้งที่เราเป็นฝ่ายขอและรอจะรับจากพระองค์ (ซึ่งในความเป็นจริงก็เป็นพระลักษณะหนึ่งของพระเจ้า) แต่จะมีบางเวลาที่เราปรารถนาจะเป็นหรืออยากทำเหมือนที่ทรงทำต่อเรา…อยากจะ รักพระองค์อย่างที่ทรงรักเราก่อน อยากจะเป็นคนนั้นที่เมื่อพระองค์มองหาใครไม่เจอสำหรับบางเรื่อง ก็เป็นเราจริงๆ ที่จะยืนอยู่ตรงนั้น แล้วกล่าวว่า “ข้าพระองค์อยู่นี่ ขออย่าผ่านเลยไป” อยากจะให้เกียรติพระองค์มากเท่าที่ทรงให้เกียรติเรา อยากจะแคร์พระองค์มากกว่าสิ่งใดๆ…..แต่ทำไมบางครั้งดูเหมือนใครหลายคน และหลายครั้งก็เป็นเราที่ลืมจุดๆ นี้ไป??

พระเจ้าให้เกียรติเราอย่างไรหรือ??

1. ในทุกการตัดสินใจเป็นของเราเสมอ >> ไม่ว่าเราจะตัดสินใจอย่างไร จะเชื่อฟังหรือไม่ พระเจ้าก็ให้เกียรติเรา พระองค์ไม่เคยบีบบังคับหรือคาดคั้นกับเรา ดังนั้นเราจึงสามารถเลือกที่จะตอบสนองพระเจ้าได้อย่างเต็มที่ แน่นอนแต่ละระดับการตอบสนองได้รับผลแห่งการอวยพรต่างกันออกไป แต่นั่น… คือสิ่งที่เราเลือกเอง!!!….และพระองค์ทรงมอบสิทธิเหล่านั้นไว้ในมือของเรา อย่างแท้จริง… (แม้ในความเป็นจริงพระองค์สามารถทำอะไรก็ได้ก็ตามที) …และนี่คือ ที่สุดของการให้เกียรติเรา คือ ทรงมีความสามารถโดยชอบธรรมที่จะทำสิ่งใดๆกับเราก็ย่อมได้ แต่ไม่ทรงทำถ้าเราไม่ยอม….

2. ไม่ทรงปล่อยปละละเลยหรือเมินเฉยต่อเรา  >> พระเจ้าไม่ทรงทอดทิ้งเราเพราะเหตุการตัดสินใจของเรา แต่บาปจะสร้างกำแพงกั้นความสนิทใจระหว่างเรากับพระเจ้า จนเกิดเป็นระยะห่างและช่องว่าง จนกว่าเราจะยอมปล่อยบาปนั้นๆไป กำแพงนั้นจะถูกทำลายลงเมื่อเราต้องการพระองค์ แม้ในเวลาเหล่านั้นจะไม่ใคร่น่าอภิรมย์สำหรับความบริสุทธิ์ของพระองค์ แต่เชื่อเถอะไม่มีสักเวลาที่ไม่ทรงอยู่ด้วย ที่ไม่ทรงรู้เห็น …เพียงแต่กำแพงนั้นทำให้เรามองไม่เห็นพระองค์ แต่มันไม่สามารถซ่อนเราจากพระองค์ได้ (สังเกตจากการที่เราไม่ต้องบอกอะไรพระเจ้าก็ทรงสามารถไถ่ทุกเวลาของเราได้ อย่างเจาะจง) ด้วยเหตุนี้การเตือน การสำแดงล่วงหน้า การเรียกหา การเรียกกลับคืน บางครั้งดูเหมือนเราถูกรั้งไว้ทุกทาง  จึงเกิดขึ้นกับเรา พระองค์จะไม่ทรงปล่อยเราทิ้ง เพียงแต่จะมีสักกี่คน กี่ครั้ง ที่ระวังระไวจิตวิญญาณและรักษาการให้เกียรติของพระองค์ไว้ได้…เพราะผู้ที่ฉวยได้มากก็ได้รับมาก ผู้ที่ฉวยได้ก่อนก็ไปเร็วกว่า และรับสิ่งใหม่ก่อน

3. ยุติธรรมต่อทุกฝ่าย >> บางครั้งก็ยากที่เราจะเข้าใจหรือเข้าถึงน้ำพระทัยของพระองค์เพราะเราคงคิด ได้แค่บางมุม บางมิติ บางด้าน บางเวลา แต่พระเจ้าทรงสมบูรณ์แบบและผดุงความเป็นธรรมให้ทุกฝ่ายได้ แม้แต่ศัตรูหรือคนอธรรมก็ยังได้รับสายฝนและแสงแดดเดียวกับเรามิใช่หรือ?  เขาก็สามารถได้รับความยุติธรรมและพระเมตตานั้นจากพระองค์ด้วยเช่นกัน

4. เราเป็นที่1 ในสายพระเนตรพระเจ้าเสมอ >> นั่นเพราะเราเป็นดั่งแก้วตาดวงใจของพระองค์ ที่ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร จะผ่านอะไรมาก็ยังทรงมองว่าเราสำคัญที่สุด เรามีคุณค่าที่ทรงตามหา และให้เกียรติในทุกระยะต่อเรา ทรงโอบอุ้มและประคองเราไว้ไม่เปลี่ยนแปลง ทุกสิ่งที่ทรงทำต่อเราสุดท้ายแล้วก็เพื่อเราเท่านั้น
ภาพ:เมื่อเรายืนต่อหน้าพระเจ้าผู้ที่อยู่ตรงหน้าของพระองค์คือเราเท่านั้น

การให้เกียรติของมนุษย์เป็นอย่างไร??

1. พระเจ้ามักมาที่ 2 รองจากบางสิ่ง บางคนเสมอ เพราะข้ออ้างที่ว่า “พระเจ้าเข้าใจ” >> แม้ในความจริงบางส่วนจะถูกต้อง คือ พระเจ้าเข้าใจ นั่นเพราะเป็นพระลักษณะแห่งความสัพพัญญู รวมไปถึงส่วนของจิตใจภายในลึกแสนลึกของเรา …เพราะพระเจ้าไม่ใช่ตัวบทกฎหมายที่เราจะมองหาช่องว่างระหว่างตัวอักษร จึงไม่ควรจะเป็นเหตุให้เราอ้างได้…แต่ก็นั่นแหละ เราล้มลุกคลุกคลานกับการมอบเกียรติให้พระองค์อย่างเพรียวๆ กับข้ออ้างนี้ ที่ดูเป็นเหตุผลที่สมจริงที่สุด และทุกครั้งมันก็เป็นจริง พระเจ้าก็ยังคงเป็นพระเจ้าที่เข้าใจเราเสมอ แม้แต่ในเวลานี้ วินาทีนี้ก็ตาม…

2. อิ่มเอมกับการได้รับจากพระเจ้ามากเสียจนไม่ต้องการขยับเขยื้อนตัวไปไหน >> การให้เกียรติอีกฝ่ายต้องอาศัยการเติบโต เพราะนอกจากจะคิดถึงตนเองแล้วต้องคำนึงถึงอีกฝ่ายด้วย  แล้วไหนจะสิ่งที่เรายังต้องแบกอยู่ไปพร้อมๆกัน จึงมีน้อยคนนักที่ปรารถนาความสัมพันธ์แบบเพื่อนหรือหุ้นส่วนจากพระองค์  แต่อยากเป็นลูกเล็กอย่างเดียวก็พอแล้ว รับอย่างเดียว เรื่องให้หรือเรื่องที่ต้องก้าวออกมา แทบไม่ต้องใช้ ไม่จำเป็นต้องมี เมื่อเราอยู่ในความเป็นลูกเล็ก

3. ใจไม่กล้าพอ >> ใจหนึ่งก็อยากนะ แต่อีกใจก็ลังเลที่จะลงทุน หรือจ่ายออกไปก่อนโดยยังมองไม่เห็นผลกำไร (ซึ่งมักเป็นเช่นนั้นคือ เรามักมองไม่เห็นสิ่งใดนอกจากบั้นปลายของบั้นปลาย…คือ บนสวรรค์ แต่โลกนี้ช่างมืดมิดเสียเหลือเกิน) แต่นั่นสะท้อนถึงความสัมพันธ์ของเราที่มีต่อพระเจ้าว่ามั่นคงเพียงใด

*** ให้เกียรติพระองค์ให้เหมือนที่ทรงให้เกียรติต่อเรา ไวต่อพระองค์เหมือนที่ทรงไวต่อความรู้สึกภายในของเรา….เพราะเมื่อใดที่เรา ให้เกียรติพระองค์ได้แบบนี้แล้ว สหายเลิศของเรา คือ พระเยซู

 

13/12/2011 0:38

0Shares