นรก : ใครหรือจะรอดได้

By | 2014/01/24

? คนไม่เชื่อเท่านั้นหรือที่ไม่รอด
? คนไม่เชื่อแล้วเป็นคนดีหละ เขาจะได้รับโอกาสอะไรบ้าง
? คริสเตียนที่เลวร้ายกว่าคนไม่เชื่อก็มี แล้วเขาจะรอดหรือ

นรกที่ๆ ไม่มีใครอยากไป และกลัวที่จะไป แต่มันกลับเป็นสถานที่นิรันดรเฉกเช่นเดียวกับสวรรค์ ระยะเวลาความยาวนานคือไม่มีที่สิ้นสุด นั่นคือ บทสุดท้ายแล้ว
เหตุที่พระเจ้าสร้างนรกสวรรค์ เพราะพระเจ้าไม่ทำลายล้างสิ่งที่ทรงสร้างให้หายไป แต่ทรงกำหนดทุกสิ่งที่บั้นปลาย มีที่ลง ที่ยืนและตำแหน่งอย่างชัดเจน ผ่านโลกซึ่งเป็นตัวชี้เล็งปลายทางที่ต้องยืน
แต่คนจำนวนมากมายมหาศาลที่ดำเนินชีวิตเสมือนว่าโลกนี้คือนิรันดร ไม่สนใจบั้นปลายแห่งชีวิตอีกเลย ไม่เพียงคนไม่เชื่อเท่านั้น แต่ถึงกระนั้นคริสเตียนผู้รู้ความจริงอย่างแจ่มแจ้งกระจ่างแท้ หรือรู้งูๆ ปลาๆ ก็ยังคงมีจำนวนมากที่เป็นเช่นนั้น

? คนไม่เชื่อเท่านั้นหรือที่ไม่รอด
พระเจ้าทรงยุติธรรมต่อทุกคน เพราะทรงเป็นพระเจ้าสำหรับทุกคน มีใครหรือที่พระเจ้าไม่ได้สร้าง ไม่ได้ตั้งใจให้เกิดมา มีใครหรือที่พระเจ้าผิดพลาดในตัวเขา ดังนั้นความรักของพระเจ้าย่อมมีถึงทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน แต่การเชื่อพระเยซูเป็นประตูด่านแรกพาคนมาสู่ความรอด เพราะด้วยว่าไม่มีใครดีพร้อมจนถึงขนาดที่จะคู่ควรต่อแผ่นดินของพระเจ้า
และแน่นอนว่าการพิพากษาไม่ได้มีถึงเฉพาะคนไม่เชื่อเท่านั้น
บัลลังค์ขาวสำหรับบำเหน็จรางวัล >> คนที่ยืนอยู่ถึงบัลลังค์นี้คือคนที่ถูกคัดเลือกเข้าสู่แผ่นดินสวรรค์เป็นแน่
บัลลังค์การพิพากษาเป็นที่ๆ คัดแยกคนลงสู่นรก >> คนที่ยืนอยู่ที่บัลลังค์นี้ มี 2 ประเภท
1.    คนไม่เชื่อ
2.    คริสเตียนที่พระบิดาตรัสว่า “เราไม่รู้จักเจ้า”

? คนไม่เชื่อแล้วเป็นคนดีหละ เขาจะได้รับโอกาสอะไรบ้าง
ความดีของคน มักดึงดูดให้พระเจ้าหันมาทอดพระเนตร เพื่อมองหาช่องทางในการอวยพรและช่วยเหลือเขา คำว่า “ความดี” นี้หมายถึง การดำเนินชีวิตในหลักการของพระเจ้า ทั้งรู้ตัวและไม่รู้ตัว แม้จะไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตนเองกำลังเดินอยู่ในหลักการของพระเจ้า ก็ย่อมได้รับพระพร เพราะพระเจ้าวางสิ่งนี้ไว้เพื่อเป็นเหตุให้สามารถเทการอวยพรลงมายังมนุษย์ได้
เมื่อพระเจ้าหันมาหาเขาแล้วค้นพบความดีนี้ หากเขาตายแล้วยังไม่เชื่อ พระเยซูจะทำหน้าที่นั้นเองในการประกาศแผ่นดินของพระเจ้าด้วยพระองค์เองต่อหน้าต่อตา เพื่อเป็นการหยิบยื่นโอกาสให้กับเขา จะมีบางคนที่กลับใจใหม่รับเชื่อในพระเยซู แน่นอนเขาได้ขึ้นสวรรค์ แต่เขาก็ไม่ได้รับบำเหน็จแม้แต่น้อย เพราะความดีนั้นไม่สามารถใช้ในการเพิ่มหรือนับเข้ากับบำเหน็จได้ อันเนื่องจาก เขาไม่ได้ทำสิ่งใดๆ โดยนามพระเยซูเลย นี่แหละที่เรียกว่า “ไร้ซึ่งสง่าราศี” เพราะคนพวกนี้จะไม่มีเลย เขาไม่มีแม้แต่การช่วยเหลือของพระวิญญาณบริสุทธิ์ในขณะที่เขาอยู่บนโลก ในเมื่อไม่เชื่อพระเยซูก็ย่อมไม่สามารถเชื่อต่อกับพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้อยู่แล้ว

** หากแม้พระเยซูให้โอกาสอีกครั้งต่อทุกคนในการกลับใจใหม่ ก็ไม่มีผลอันใดต่อการเปลี่ยนแปลงการตัดสินใจของพวกเขาเลย เพราะว่าวินาทีสุดท้ายของการสิ้นโลก คือวินาทีที่การตัดสินใจที่พระเจ้าใส่ในเรานั้นสิ้นสุดการทำงานลง ดังนั้นจึงไม่มีใครได้เปรียบหรือเสียเปรียบเป็นแน่เมื่อพระองค์ทรงทำเช่นนี้ ไม่มีใครสามารเปลี่ยนใจใหม่ ณ เวลานั้นได้ แต่ส่วนที่ทำงานคือ ส่วนที่ยังคงเป็นเมล็ดพันธ์ตั้งแต่บนโลก เช่น คนนี้เขาตัดสินใจเชื่อพระเยซูแน่หากมีคนประกาศเขาก่อนตาย เมื่อพระเยซูให้โอกาสนี้เขาก็เชื่อได้ จึงรอดด้วยเหมือนกัน แต่หากคนๆนี้ ต่อให้อย่างไรบนโลกเขาก็ไม่กลับใจเชื่อพระเยซู ไม่หันหลังให้กับบาป หรือมั่นใจในความดีของตนเพียงพอ หรือคิดว่าไม่ต้องพึ่งพระเจ้า เวลานั้นเขาก็จะไม่กลับใจอยู่ดี แม้อยู่ต่อหน้าบัลลังค์และการประกาศตนของพระเยซูก็ตาม แต่เขาจะได้เห็นความเป็นพระเจ้าของพระองค์อย่างแท้จริง

? คริสเตียนที่เลวร้ายกว่าคนไม่เชื่อก็มี แล้วเขาจะรอดหรือ
หากคริสเตียนกลับใจใหม่ โดยโลหิตของพระเยซูสามารถลบล้างความบาปผิดได้ทั้งหมด นี่คือพื้นฐานความรักของพระเจ้า
“แต่คริสเตียนที่อ้างตนว่าเป็นคริสเตียน แล้วดำเนินชีวิตเลวร้ายไม่ต่างกับชาวต่างชาติที่ไม่เชื่อพระเจ้า หรือหาช่องทางทำบาปด้วยคิดว่าเรา(พระเจ้า)โง่เขลา ด้วยความโง่เขลานั้นจะผูกมัดตัวเขาให้ถูกเหวี่ยงเข้าพวกกับคนไม่เชื่อ ด้วยคำว่า ‘เราไม่รู้จักเจ้า’ ที่หน้าบัลลัค์พิพากษา” พระเยซูตรัสแก่ข้าพเจ้า

180114

0Shares