การภาวนา 2

By | 2016/04/20

คริสเตียนจำนวนมาก รู้จักการอธิษฐานแบบเป็นรูปแบบ  แต่เมื่อมีความจำกัด ด้านเวลา สถานที่ หรือภาระกิจที่รัดตัว ทำให้ไม่สามารถอธิษฐาน หรือนมัสการพระเจ้าได้อย่างเต็มรูปแบบ ก็ไปต่อไม่เป็น >>> ส่งผลให้เกิดการฟ้องผิดภายในจิตใจว่า ไม่สามารถใกล้ชิดพระเจ้าได้ตามรูปแบบที่เคยดำเนิน เคยเป็น หรือ เคยทำเป็นประจำ ทั้งนี้ ต่างก็มีใจปรารถนาและแสวงหาพระเจ้าอยู่เป็นเสมอ

แต่ทำไม? ความรู้สึกภายในกลับตีกันกับ ความรู้ที่เคยชิน โดยลืมไปว่า … พระเจ้าทรงมีนามว่า “เราเป็น” นั่นหมายความว่า พระองค์ทรงรู้ทุกสิ่งในสิ่งที่เราเป็น ในทุกขณะ แม้แต่ความจำกัด อุปสรรคหรือปัญหา ทรงชันสูตรจิตใจภายในและตรวจค้นสิ่งเหล่านั้นโดยองค์พระวิญญาณของพระเจ้าที่อยู่ภายในเรา

พระเจ้าทรงมองดูไม่เหมือนกับที่มนุษย์มอง ทรงมีมาตรวัด ไม่เหมือนที่มนุษย์วัด มนุษย์มักมองดูแต่ภายนอกสนใจแต่รูปแบบ โดย ลืมเนื้อหาภายในหรือท่าที่ในใจ ทำให้มนุษย์มักกำหนดกะเกณฑ์สิ่งต่างๆ แล้วครอบตนเองและผู้อื่นไว้ในกฎเกณฑ์ที่ตนเองตั้งเอาไว้เอง…

แต่แท้จริงพระเจ้า ไม่ได้สนใจภายนอกเทียบเท่ากับภายใน เมื่อทรงชันสูตรภายในแล้ว ค้นพบว่าจิตใจภายในหิวกระหายและแสวงหาพระเจ้า นั่นก็เพียงพอต่อการมีความสัมพันธ์กับพระองค์

1 ซามูเอล 16:7  แต่พระเยโฮวาห์ตรัสกับซามูเอลว่า “อย่ามองดูที่รูปร่างหน้าตาหรือที่ความสูงแห่งร่างกายของเขา ด้วยเราไม่ยอมรับเขา เพราะพระเยโฮวาห์ทอดพระเนตรไม่เหมือนกับที่มนุษย์ดู ด้วยว่ามนุษย์ดูที่รูปร่างภายนอก แต่พระเยโฮวาห์ทอดพระเนตรจิตใจ”

เราไม่จำเป็นต้องคิด หรือ กำหนดรูปแบบที่ตายตัวในการเข้าหาพระเจ้า

ดังตัวอย่างเช่น

•    หญิงที่บ่อน้ำสนทนากับพระเยซู
•    พระเยซูสอนอยู่บนเรือบ้าง อยู่บนภูเขาบ้าง อยู่ในธรรมศาลาบ้าง  สอนบนโต๊ะอาหารบ้าง ทั้งสิ้นเหล่านี้ล้วนเป็นความสัมพันธ์ที่มีหลากหลายรูปแบบ มีหลากหลายวาระ มีหลากหลายสถานที่ ดังนั้นเราจึงไม่จำเป็นต้องกำหนดตนเอง หรือ ตีกรอบให้กับตนเองในเรื่องของความสัมพันธ์จนไม่สามารถยืดหยุ่นได้ จนขาดเสรีภาพในการเข้าหาพระเจ้าได้

การภาวนาเป็นอีกหนึ่งรูปแบบของการอธิษฐาน ใคร่ครวญถึงพระวจนะของพระเจ้า การภาวนาเริ่มต้นจากภายในใจ เราสามารถพูดคุยกับพระเจ้า สนทนากับพระเจ้า หรือแม้แต่อธิษฐานวิงวอน หรือมีเพลงบทใหม่กับพระเจ้า ได้ตลอดเวลา แม้ในขณะที่กำลังปฏิบัติภาระกิจอื่นอยู่ …

แน่นอนว่า การมีเวลาที่เจาะจงในการเฝ้าเดี่ยว ในการแสวงหาพระเจ้า ในการศึกษาพระคำ ย่อมเป็นสิ่งที่ดีกว่า แต่ในยามที่ มีความจำกัด การภาวนา ก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่สามารถทำให้เราเชื่อมต่อกับพระเจ้าได้ตลอดเวลา โดยที่ไม่ต้องรู้สึกฟ้องผิด หรือ รู้สึกผิด

ภาพตัวอย่างเช่น การที่ลูกนั่งคุยกับพ่อแม่ แบบเป็นทางการ นั้นก็ดี แต่บางครั้งก็พูดคุยกันได้ ในระหว่างทำกิจกรรมอื่นๆ เช่นล้างจาน นอนคุยกัน เดินไปคุยไป จ่ายตลาดไปคุยไป หรืออื่นๆ…  ก็ไม่ได้ทำให้ ความสัมพันธ์นั้นลดลง เพียงแต่เปลี่ยนรูปแบบ ให้เหมาะสม เท่านั้นเอง

คริสเตียนจำนวนมากหลงลืมเรื่องการภาวนา และไม่ได้มีการภาวนาเป็นชีวิตจิตใจ ทำให้เมื่อถึงเวลาที่คับขัน หรือมีความจำกัด ด้านการงาน ด้านเวลา ด้านสถานที่ หรือด้านอื่นๆ ก็ไม่ให้น้ำหนักกับการเข้าหาพระเจ้าอย่างแท้จริง … แต่กลับฟ้องผิด โทษโน่นโทษนี่ โดยที่ไม่ได้เริ่มต้น แม้แต่จะอธิษฐาน หรือเรียกหาพระเจ้าด้วยซ้ำ เพราะมัวแต่ยึดกรอบความคิดว่า … ต้องนั่งลง แบบเป็นทางการเท่านั้น

กรอบความคิดเหล่านี้เป็นสิ่งที่ดีในสภาวะปกติ แต่ในยามที่ไม่ปกติ มีความจำกัดเป็นตัวแปรหลัก จะทำให้ไม่มีเสรีภาพในการเข้าหาพระเจ้า เกิดการฟ้องผิดในสิ่งที่ไม่เป็นเหตุผลอันสมควร เป็นการวาดความกลัวไว้ในอากาศว่า “พระเจ้าไม่พอพระทัย” “ตนเองย่ำแย่” “พระเจ้าไม่ฟัง” “สร้างแรงกดดันให้ตนเอง” …

ซึ่งความเป็นจริงไม่ว่าเราจะนั่งลงแบบเป็นทางการ หรือภาวนาภายใน พระเจ้าก็จะทรงชันสูตรและค้นพบ ความจริงของท่าทีภายในของเราอยู่ดี ดังนั้นคริสเตียนควรฝึกที่จะภาวนาให้เป็นชีวิตจิตใจและเป็นภาวะประจำวันด้วยซ้ำ

ตัวอย่างบุคคลในพระคัมภีร์

~ ในขณะที่พระเยซูถูกไปไต่สวน ก็ภาวนากับพระเจ้า
~ ในขณะที่เปาโลที่ถูกขังคุก ก็ภาวนากับพระเจ้า
~ ในขณะที่โยเซฟถูกขายและขังในคุก ก็ภาวนากับพระเจ้า
~ ในขณะที่ดาเนียลต้องอยู่ในถ้ำสิงโต ก็ภาวนากับพระเจ้า
~ โมเสสภาวนากับพระเจ้า แม้ในขณะที่กำลังเดินอยู่ในถิ่นทุรกันดาร หรือ ท่ามกลางผู้คนมากมายกำลังทุ่มเถียง และต่อว่าโมเสส เขาใช้การภาวนากับพระเจ้า
~ โยนาห์ภาวนากับพระเจ้า ในขณะที่อยู่ในท้องปลาถึง 3 วัน
~ เนหะมีย์ ภาวนาต่อพระเจ้า ในขณะที่ฟาโรห์ถามถึงความต้องการของเขา เพื่อเยรูซาเล็มบ้านเกิด
~ เอสเธอร์ ภาวนาต่อพระเจ้า ในขณะที่กำลังยืนต่อหน้ากษัตริย์ เพื่อขอความโปรดปราน
~ มารีย์และเอลิซาเบธต่างภาวนาต่อพระเจ้าร่วมกัน
.
.
.

จะเห็นได้ว่าการภาวนามีฤทธิ์อำนาจไม่ได้แตกต่างไปจากการอธิษฐานแบบเป็นทางการ หรือการเฝ้าเดี่ยวแบบเต็มรูปแบบ เพียงแต่ มีความแตกต่าง ด้านความจำกัด หลายครั้งคริสเตียนหลงลืมและละทิ้งการภาวนา โดยเลือกเอาการไม่เข้าหาพระเจ้าเลย และอ้างความจำกัดเป็นตัวตั้ง หากเป็นเช่นนั้นแล้ว ก็ไม่ต่างอะไร กับการต้องเอาตัวเองไปกราบไหว้รูปเคารพเท่านั้น เพราะคิดว่าพระเจ้าถูกจำกัดด้วยมิติเวลา และมิติสถานที่

แท้ที่จริงพระเจ้าผู้ทรงยิ่งใหญ่ไม่ถูกจำกัดด้วยมิติใดๆ ทั้งสิ้น เราจึงสามารถอธิษฐานร้องทูล และมีความสัมพันธ์กับพระองค์ได้ในทุกเวลา ในทุกวัน ได้ทุกสถานที่ ในทุกสภาวะการณ์ เนื่องด้วย การวายพระชนม์ของพระเยซูบนกางเขน ทำให้ม่านในวิหารขาดจากบนลงล่างตลอดแนวแล้ว นั่นหมายความว่า ไม่มีสิ่งใดกีดขวาง หรือ กีดกั้นการเข้าหาพระเจ้าของเราได้แม้แต่สิ่งเดียว

 

การภาวนา

 

1.    ความจำกัดไม่เป็นอุปสรรคในการเข้าหาพระเจ้า และไม่เป็นข้ออ้างอันสมเหตุสมผล เพื่อจะไม่เข้าหาพระเจ้าด้วย

2.    พระเจ้าทรงพระคุณอย่างมากมาย ทรงรู้ และเข้าใจความจำกัดของมนุษย์ รวมถึงของเราอย่างเจาะจง ดังนั้น ทรงเปิดทางให้แก่เราในการมีความสัมพันธ์กับพระองค์หลากหลายรูปแบบ และหลากหลายหนทาง จึงไม่มีข้ออ้างหรือเหตุผลใด ทำให้เราล้มเลิกหรือไม่เข้าหาพระเจ้าได้เลย

3.    ในความเป็นจริง คริสเตียนควรภาวนาถึงพระเจ้าในทุกสภาวการณ์ด้วยซ้ำ ไม่เพียงแค่สภาวการณ์ไม่ปกติ เพราะการภาวนาเป็นการเชื่อมต่อกับพระเจ้าโดยตรงอีกรูปแบบหนึ่ง

4.    การมีความสัมพันธ์กับพระเจ้าแบบเต็มรูปแบบ หรือแบบเป็นทางการ เป็นสิ่งที่ควรมีในทุกวัน เพื่อการดำเนินชีวิตคริสเตียนที่ราบรื่น และได้รับทิศทางจากพระเจ้าเป็นการส่วนตัว แต่การภาวนาเป็นเหมือน option เสริม ที่ควรเรียนรู้ เพื่อให้ความสัมพันธ์กับพระเจ้า เกิดขึ้นตลอด 24 ชั่วโมง ไม่ใช่เพียงแค่เวลาเฝ้าเดี่ยว  หรือเวลาศึกษาพระคำแบบเป็นทางการเท่านั้น

5.    การภาวนาเป็นเรื่องของการฝึกฝน  หากเติบโตด้านการภาวนามากยิ่งขึ้น >> จะส่งผลให้ทุกช่วงชีวิต ไม่ว่าจะคิด หรือจะทำอะไร ไม่ว่าเผชิญสิ่งใด จะเริ่มต้นด้วยการแสวงหาพระเจ้าก่อนเสมอ

6.    อย่าโดนหลอกด้วยอุปสรรคปัญหา หรือเนื้อหนัง ในการขาดวินัยของตนเอง ทำให้พรากพระพรที่ควรเป็นของตนออกไป  เพราะการห่างเหินจากพระเจ้า

 

2016-04-20

 

 

0Shares