กระสุนของมารร้าย‏

By | 2013/11/19

แท้จริงนั้นมารซาตานไม่สามารถรู้จิตใจภายในของเราได้ ความสามารถของมันไม่สามารถหยั่งรู้ความคิดภายในใจของเราได้ มันอ่านที่เราเขียนและฟังที่เราพูดออกแต่ไม่สามารถอ่านสิ่งที่อยู่ภายใจของ เราได้ สิ่งที่มันทำคือเพียงแค่หว่านกระสุนออกมาสัก 10 หรือ 20 ลูกเผื่อว่าจะมีสักลูกที่โดนเราบ้าง ส่วนมันจะโดนเราได้มากน้อยเพียงใด…อยู่ที่เราจะเปิดช่องและฉวยเอากระสุนลูกไหนเข้ามาในชีวิตเราบ้าง บางครั้งก็โดนหลายลูกในคราวเดียวกัน ….ก็เจ็บหนักหน่อยลุกยากนิด  แต่บางเวลามันไม่สามารถทำอะไรเราได้เลย.. มันอยู่ที่เรานั่นแหละจะรับหรือไม่รับอะไร…

เพราะความเป็นจริงในโลกฝ่ายวิญญาณนั้นแม้มารซาตานจะมีอำนาจอยู่ในมือของมัน แต่ความจริงอีกด้านหนึ่งคือมันไม่สามารถแตะต้องเราได้เลยถ้าพระเจ้าไม่อนุญาต …

จะมีสักกี่คน?? จะมีสักกี่เวลา?? กันเชียวที่พระเจ้าใช้เหมือนดังโยบ ที่พระองค์ยอมให้มารร้ายที่ไปๆมาๆ มาแตะต้องชีวิตของเขา (ซึ่งน้อยมากที่พระเจ้าจะใช้แบบโยบ) แสดงว่าในสภาวะปกติพระองค์ไม่อนุญาตให้ซาตานแตะต้องเราแม้แต่น้อย …..

มารไม่สามารถอ่านความคิดในใจของเราได้ (เว้นเสียแต่เรายอมให้มันครอบครองในส่วนใดๆ) แต่สำหรับผู้ที่เดินในพระวิญญาณบริสุทธิ์และให้พระองค์ครอบครอง…. ผู้ที่อยู่ภายในเราจึงเป็นพระองค์… ผู้ที่ฟังเสียงภายในเราได้จึงเป็นพระองค์…. สังเกตได้จากแม้เรา อธิษฐานภายในใจ พระเจ้าก็ตอบเราได้ และทำสิ่งต่างๆได้เช่นเดียวกันกับการ อธิษฐานออกเสียงดังๆ  ที่ใดก็ตามที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ครอบครอง มารจะไม่สามารถมีส่วนได้เลย มันลุกล้ำเข้าไปยังพื้นที่ของพระองค์ไม่ได้

ที่ใดที่มีความสว่าง ความมืดก็อยู่ไม่ได้และความมืดจะไม่เป็นความมืดอีกต่อไป ตราบที่แสงสว่างยังคงอยู่ สิ่งเหล่านี้พิสูจน์ให้เราเห็นว่าความสามารถของมารร้ายทำได้เพียงวนเวียน อยู่รอบกายเรา มันรู้ทุกสิ่งที่รายล้อมเรา มันเฝ้าดูและมองเห็นทุกความเป็นไปของเรา (ดุจสิงห์คำราม) และมันจะไม่ปล่อยกระสุนพร่ำเพรื่อ เพราะมันรู้ว่าเวลาไหน? ตอนไหน? ที่โอกาสจะเป็นของมัน...*** ใช่แล้ว!!!!..มันมักเป็น เวลาที่เราเผลอ!!!!

เวลานั้น..อาจเป็น >>

Ω    เวลาที่เราว่างมาก จนมีเวลาพอจะฟุ้งซ่านหรือหละหลวมบางด้านในชีวิต (หละหลวม คือ การปล่อยปละละเลย ต่างกับการผ่อนคลาย)
Ω    หรืออาจเป็น เวลาที่เรายุ่งมาก จนเราเบนประเด็นสำคัญไปที่สิ่งนั้น แทนพระองค์
Ω    บางครั้ง อาจเป็น เวลาที่เราเหนื่อยล้าจนเกินไป หรือสุขสบายจนเกินไป
Ω    เวลาที่เราทำอะไรมาเนิ่นนานจนกลายเป็นความเคยชินแทนความสดใหม่
Ω    …….

*** แต่ตัวเราเองนั่นแหละ มักเปิดช่องและโอกาสให้กับมัน แน่นอนในความเป็นจริงเราไม่สามารถต่อสู้มันได้ด้วยกำลังของเรา เพราะมันมีอำนาจมากกว่าเราในโลกนี้ จวบจนวันที่เราร่วมพิพากษากับพระองค์ เวลานั้นเราจึงมีอำนาจมากกว่ามัน…

แต่ทว่าในโลกนี้ ในขณะที่เรายังไปไม่ถึงนิรันดร ในขณะที่สงครามได้คืบคลานเข้ามาหลายระรอก เราสามารถมีชัยเหนือมารซาตานได้ แม้เราจะมีอำนาจน้อยกว่า…..โดยนามพระเยซูเท่านั้น!!  ดังนั้นการปิดทุกช่องทางในการต้อนรับกระสุนเหล่านั้นจึงเป็นหน้าที่ของเราเองที่ร่วมกับพระองค์ในการปกป้องตัวเรา
ไม่เพียงการไม่เปิดช่องแต่รวมไปถึงการไม่ดิ้นรนไปฉวยเอากระสุนเหล่านั้นเข้ามาด้วย แน่นอนมันมีความสามารถอีกอย่างที่เหนือเราคือ ความสามารถในการหลอกลวงให้หลง เหมือนจริงแต่ไม่จริง เหมือนว่าใช่แต่บิดพลิ้ว อย่าคิดว่าเราแน่กว่ามัน เพราะหลายครั้งสิ่งที่เราคิดว่าแน่มันก็ใช้สิ่งนั้นแหละ…หลอกเราอย่างแนบ เนียน โดยเฉพาะมันเก่งกาจในการใช้โลกแห่งความคิดจอมปลอมของเราทำให้เราตกหลุมนั้น และยากจะลุกขึ้น เพราะมันใช้หลุมของเราเอง แล้วผลักเราลงไปในหลุมนั้น … และหลุมนั้นมักจะใหญ่พอให้เราตกลงไป เมื่อเราอยู่ในสภาวะไม่ปกติ ทั้งกาย ใจ วิญญาณ อาจด้านใดด้านหนึ่งหรือ มากกว่าหนึ่งด้านในเวลาเดียวกัน

เคยบ้างไหม??  มีเหตุการณ์ใดๆ เข้ามาเราก็คิดเองเสร็จสรรพเลยว่ามันต้องเป็นไปอย่างไร? จินตนาการเรื่อยเปื่อย … นั่นแหละ…โอกาสของมันมาถึงแล้ว มันรอจังหวะที่เราจะก้าวหรือคิดต่อ หรือพ่นคำพูดแง่ลบออกมา … แทนที่เราจะถามพระเจ้าว่า…เกิดอะไรขึ้น? จะเอาไงต่อ? หรือแทนที่เราจะเข้าไปหาพระองค์และร้องทูลต่อพระองค์…ที่ตรงนั้นแม้เราไม่ เข้าใจ แม้เราอ่อนแอ แม้เราไม่พร้อมจะตอบสนอง แต่เราจะได้รับการปกคลุมจากพระองค์แทนการผลักของมารร้ายให้เราตกหลุมของตัว เอง …ไม่ว่าเราจะอ่อนแอ งอแง หงุดหงิด ไม่เข้าใจ ร้องไห้คร่ำครวญ จะเป็นจะตายเพียงใด พระองค์ก็รับเราได้ ขอเพียงให้เราอยู่ในอาณาเขตการปกคลุมของพระองค์เท่านั้นเอง

ส่วนพระองค์หรือ….??

พระเจ้าผู้ทรงบริสุทธิ์และเปี่ยมไปด้วยเกียรติ พระองค์ทรงให้เกียรติการตัดสินใจทุกสิ่งในชีวิตของเราตั้งแต่เริ่มแรกสร้างโลกและไม่ว่าวันนี้หรือวันพรุ่งนี้ วันไหนๆ พระองค์ก็ยังคงให้เกียรติและเคารพในสิทธิ์นั้นกับเราเสมอ นี่เป็นสิทธิ์เดียวที่เรามีเหนือทุกสิ่งในชีวิตเราที่แม้แต่พระเจ้าก็ยังไม่แตะ คือสิทธิ์แห่งการตัดสินใจ….

พระเจ้าทรงพร้อมทำสิ่งสารพัดที่เกินความนึกคิด เกินความคาดหวัง เกินวิถีทางของเราเสมอ ในทันทีที่เราตัดสินใจอยู่ฝ่ายพระองค์ โดยที่พระองค์ไม่มีข้อแม้เลยสักนิด ไม่มีข้อแม้ว่าเราต้องพร้อมหรือสมบูรณ์ก่อนจึงค่อยมาหาพระองค์ (ซึ่งมารมักใช้ช่องว่างแห่งความไม่มั่นใจนี้ทำให้เราไม่เลือกพระองค์ เสมอ)….

ทันทีที่เราเลือกพระองค์อาณาเขตของพระเจ้าก็ปกคลุมเราในทันที  ความมืดและการหลอกลวงได้ถูกทลายลงด้วยการปกคลุมของพระองค์อย่างทันที ที่เสี้ยวหนึ่งของเราร้องเรียกหาพระองค์จากบึ้งลึกของจิตใจเรา แม้ยังลุกไม่ขึ้น แม้ยังขยับเท้าให้ก้าวไปไม่ได้ แต่… นาทีนั้นมารซาตานจะหมดสิทธิ์ทุกสิ่งในเราทันที  กระสุนของมันจึงทำอะไรเราไม่ได้เลย

?? มีด้วยหรือ ที่เราเลือกพระองค์แล้วมารยังคงมีผล….แท้จริง…มันคือ “ไม่มี” แต่ที่มันยังมีอยู่คือ เราคิดว่าเรายืนในจุดที่เลือกพระองค์ แต่มีบางส่วนที่เรายังถวิลหามัน และนั่นและคือการฉวยเอากระสุนเข้ามาเอง มารได้สาดกระสุนไว้แต่แรกแล้ว แต่มันเพิ่งมีผลตอนที่เราเปิดรับและฉวยเอามันเข้ามานั่นเอง

ลักษณะเด่นของกระสุน

1. มันเป็นอาวุธที่ค่อยๆ แทรกซึมเข้ามาตามช่องทางที่มันพอจะเข้ามาได้ ไม่ว่าจะเป็นทางความคิด ทางอดีตที่เจ็บปวด ทางความหยิ่งยโส ทางความอ่อนแอและความกลัว ทางความเมื่อยล้า ทางความไม่รู้ความจริงของพระคำ หรือแม้แต่ทางความรู้ที่เอ่อล้นด้านพระคำแต่กลับใช้เล่ห์เหลี่ยม…ทางใดก็ ตามมันสามารถแทรกซึมและฝังไว้ภายในเราให้ค่อยๆ ก่อร่างสร้างตัวภายในจนกลายเป็นค่านิยมที่ผิดไปจากน้ำพระทัยพระเจ้าแต่ตรงใจเราและระบบของโลก
(ภาพ:พวกก่อการร้ายที่ส่งคนสอดแนมเข้าไปตั้งแต่ยังเด็กเพื่อแทรกซึมและเรียนรู้ทุกสิ่งของเป้าหมายจนเหมือนและใช้ความเหมือนทำลาย)

2. กระสุนของมารร้ายมักพร้อมทำให้เราหวาดกลัวและล้มเลิกง่ายๆ  มันจะกระตุ้นความกลัวของเราด้วยสถานการณ์ที่ย่ำแย่ในสายตาเรา ด้วยความผิดหวังในตัวมนุษย์ ด้วยความอ้างว้างอย่างที่สุด ด้วยความขัดสนจนทนไม่ไหว และมันจะพาเราก้าวไปสู่การล้มเลิกด้วยมองตัวเองกับปัญหาที่ถ่าโถมเข้าใส่แบบไร้ทางออก มันจะทำให้เราจดจ้องอยู่ที่สิ่งเหล่านั้นจนลืมมองไปอีกทาง คือ พระองค์…ก็อยู่ตรงนั้นด้วย…

3.กระสุนของมัน คมพอที่จะบาดลึก ทิ้งความเจ็บปวดให้กับเราหรือหนักพอจะทำให้เรายุ่งเหยิงจนต้องละมือจาก พระองค์เพื่อแก้ปมนั้น มันจะใส่ความบั่นทอนและกัดกินกำลังทุกทางที่เราพอจะเหลืออยู่ ไม่ว่าจะกำลังใจ หรือ กำลังฮึดสู้เฮือกสุดท้าย …

4. มันมักทำให้เราอายจนไม่มีหน้าไปพบพระเจ้า (แม้เราไม่ได้ทำอะไรที่เลวร้ายปานนั้น แต่มันจะสกัดกั้นหนทางที่เราเงยหน้ามองพระองค์ ด้วยการเอาความอายเป็นฉากบังหน้า) สุดท้ายเราก็หนีโดยที่มันไม่ต้องบอกทางหนีให้เรา แต่เราจะคิดทางหนีออกเองอย่างอัตโนมัติ ระยะห่างกับพระเจ้าเกิดเป็นหลุมใหญ่…เพียงพอที่จะทำให้เรารู้สึกผิดไปได้ นานเลยทีเดียว

5. กระสุนของมันเหมือนระเบิดเวลาที่ไม่ทำงานเวลาที่เราเข้มแข็งดี แต่เมื่อใดที่ช่องนั้น แง้มออก มันจะระเบิดออกชนิดที่เราตั้งตัวไม่ทันเลยทีเดียว มันอาศัยการตายใจจนขาดความระแวดระวัง

6. มันใช้รูปแบบเดิมๆ มาหลายพันปีและมันยังใช้การได้ดีทุกยุคสมัย

7. ที่ร้ายแรงกว่า คือ มันสาดกระสุนเข้าหาเราแล้วทำให้เราทำร้ายผู้อื่นด้วย กรณีนี้มักเกิดผ่านช่องทางความหยิ่ง มันมักใช้ความหยิ่งเป็นเส้นทางลำเลียงกระสุนของมันแล้วสาดความอิจฉา ความชิงชัง ความไม่ยอมน้อยหน้า ความทะเยอทะยานฝ่ายกายและใจแทนฝ่ายวิญญาณ ความหิวกระหายที่จะเป็นหนึ่งเดียว ความแตกแยก การแบ่งระดับชนชั้นด้วยระดับคุณค่าที่โลกนี้มักใช้วัด …..มันทำให้เราซึ่งเป็นลูกของพระเจ้าตีกันเอง

ข้อคิด

1. จงรักษาสิทธิ์ที่พึงมีในการตัดสินใจให้มั่นว่า เราจะเลือกฝ่ายใด นอกเหนือการปกคลุมของพระเจ้าทุกพื้นที่บนโลกมารซาตานรู้และเห็นหมด

2. พระเจ้าไม่เคยทอดทิ้งหรือปล่อยให้เราเผชิญหน้ากับสิ่งต่างๆ บนโลกนี้เพียงลำพัง** เพราะไม่มีที่ใด เวลาใดในโลกนี้ที่เราเรียกหาพระองค์ไม่ได้

3. แม้ขีดความสามารถและขอบเขตของมารซาตานจะกว้างใหญ่ไพศาลเพียงใด แม้ดูเหมือนมันจะแทรกซึมและเหนือเราได้ แต่มันมีความจำกัดที่ไม่สามารถมีชัยในเราโดยนามพระเยซู และมันรู้ว่าด้วยว่าจะแตะต้องเราไม่ได้ตราบที่พระองค์ไม่อนุญาต ตราบที่ทรงครอบครองเราอยู่ ส่วนใด เรื่องใดก็ตามถ้าพระเจ้าครอบครองมันจะไม่กล้ายุ่ง

4. ที่เราต้องระวังมากที่สุด คือ ใจของเราต่างหาก เพราะตัวเราเป็นผู้กำหนดขอบเขตการครอบครองนั้นด้วยผู้ใด…. พระเจ้าหรือไม่?

5. ไม่มีสักสิ่งเดียวที่เราผ่านไปไม่ได้ จะช้าเร็ว ยากง่าย พระเจ้าก็อนุญาตให้เราเผชิญกับมัน เพื่อเราจะเข้าใจมากขึ้น มันเป็นวิถีสู่ความไพบูลย์ในชีวิตของเรา แม้บางเส้นทางจะมีคนเดินไม่มากนัก แม้บางช่วงเวลาเราไม่มีอะไรเลย แต่ใครจะรู้ว่า เรากำลังถวายเกียรติพระองค์อยู่… ลองคิดดูว่า มารซาตานจะเสียหน้าและสูญเสียผู้ที่ตกเป็นพวกของมันไปอีก 1 คนด้วยอีก 1 ก้าวของเรา (1 คนนั้นอย่างน้อยก็คือเรา ยังไม่รวมกับอีกกี่ชีวิตที่พ่วงมาตามหลังเรา)

6. การรู้ขอบเขตและเท่าทันมารจะทำให้เราพลาดได้ยากขึ้น ไม่ได้หมายถึงเราจะไม่พลาดเลย เพราะไม่ว่าอย่างไรโลกนี้ก็ตกอยู่ใต้อำนาจของมัน แต่เราจะลุกขึ้นได้เร็วและมีไกด์แนวทางที่ชัดเจนยิ่งขึ้น ปิดช่องได้มากขึ้น จัดการตัวเองได้มากขึ้น

รักพระองค์นะคะ ~ อากาเป้

31/10/2011 22:01

0Shares