สวรรค์ : สวนเอเดน

By | 2014/02/01

ข้าพเจ้าใส่ชุดขาวผ้าโปร่งยาวลากพื้นนั่งอยู่บนรถเข็น โดยมีพระเยซูเป็นผู้เข็นอยู่รถนั้นอยู่ด้านหลัง แต่ขาและเท้าของข้าพเจ้าไม่ได้เป็นอะไรเลย พระพักตร์ของพระเยซูยิ้มด้วยความอบอุ่น สายตาเต็มไปด้วยความเมตตาเปี่ยมไปด้วยความสงบสุข พระเยซูทรงเข็นรถให้กับข้าพเจ้า ส่วนข้าพเจ้าก็หันมองดูรอบๆ ทรงพาเข้ามาท่ามกลางไม้ดอก ไม้ผลนาๆ ชนิด เหล่าผีเสื้อหลากสี บินว่อนล้อมหน้าล้อมหลัง

ข้าพเจ้าเพลิดเพลินและสนุกสนานกับการที่ผีเสื้อบินมาตอมและให้จับสัมผัสกับตัวมัน สีของมันช่างสดจนกระทั่งรู้สึกได้เลยว่ามันดูมีชีวิตชีวาอย่างมาก เห็นถึงลวดลายของผีเสื้อได้อย่างชัดเจน กลิ่นหอมของดอกไม้อบอวนเต็มไปหมดทั่วพื้นที่  ได้ยินเสียงน้ำไหลเอื่อยๆ และสารพัดสิ่งมีชีวิตกำลังรื่นเริง เสมือนจะประชันเสียงกัน แต่ก็กลับประสานเสียงเป็นบทเพลงที่ไพเราะก้องกังวานและมีชีวิตชีวาอย่างลงตัว พาให้อดยิ้มร่าไปด้วยความตื่นเต้นกับสิ่งรอบกายไม่ได้ ….

ขณะที่กำลังเพลิดเพลินกับความงดงาม ความสวยงาม ตื่นตาตื่นใจกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า หัวเราะไป ชวนพระเยซูดูไป แต่พระองค์ก็ทรงยิ้มพรางกับเข็นรถไปเรื่อยๆ ยิ่งเข็นไปไกลมากเท่าไร สังเกตที่ชายกระโปรงก็ยิ่งยาวออกไปเรื่อยๆ พลิ้วไปกับสายลม แต่ไม่เป็นอุปสรรคต่อการเข็นรถนั้นของพระเยซูเลยสักนิด เมื่อข้าพเจ้าเหลือบหันไปมองแล้วก็รู้สึกแอบปลาบปลื้มใจเสมือนว่าพิเศษสุดๆ สำหรับหญิงสาว

สักครู่หนึ่งข้าพเจ้าสังเกตุเห็นบรรยากาศโดยรอบด้านเปลี่ยนไปจนรู้ตัวอีกทีก็มีเสียงผุดภายในว่า “นี่คือเอเดน” เข้าไปอยู่ในสวนเอเดนตั้งแต่เมื่อไรยังไม่ทันรู้ตัวเลยด้วยซ้ำ…

ณ เอเดน ต้นไม้นั้นเด่นตระง่านตั้งอยู่บนเนินดินที่สูงขึ้นมาเล็กน้อยจากพื้นผิวทั่วๆ ไป โดยรอบของฐานต้นไม้นี้ มีสายน้ำเล็กๆ ล้อมรอบ แต่มองลักษณะภายนอกของต้นไม้นั้นแล้วก็เหมือนๆ กับต้นอื่น ไม่ได้มีลักษณะเด่นหรือแตกต่างไปจากต้นอื่นๆ มากนัก

ข้าพเจ้าถามพระเยซู “พระองค์เจ้าข้า นี่คือเอเดนหรอค่ะ” ในขณะที่ตัวเองกระโดดออกจากรถเข็น ค่อยๆ เดินเข้าไปใกล้ต้นไม้นั้นยิ่งขึ้น ตื่นตระหนกกับสิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้า พร้อมกับดีใจที่ได้เห็น แต่ก็มีคำถามผุดขึ้นภายในใจว่า “เอเดนเข้ามาได้ด้วยหรือนี่?”
พระเยซูตรัสพรางยิ้มให้ข้าพเจ้า ด้วยสายตาเมตตาและอบอุ่นดังเดิม แต่กลับดูหนักแน่นมั่นคง  “ใช่แล้ว ที่นี่คือ เอเดน” …  “จงพินิจดูต้นไม้นั้นที่อยู่ตรงหน้าเจ้า ‘ต้นสำนึกผิดชอบ’  แล้วเจ้าจะเข้าใจเอง”
ข้าพเจ้าเพ่งมองตามที่พระเยซูทรงตรัส ทันใดนั้นสิ่งที่ผุดขึ้นภายในคือ เข้าใจและเห็นความจริงอันลึกซึ้งอีกด้านของสิ่งที่เกิดที่นี่ …

ไม่น่าแปลกเลยที่ทำไมอาดัมกับเอวาจึงกินผลจากต้นไม้นั้น เพราะลักษณะภายนอกมันไม่ได้ต่างไปจากต้นอื่นเลย มันมีลักษณะคล้ายคลึงกันกับสิ่งต่างๆ ที่พระเจ้าให้เขาครอบครอง แล้วจะเป็นไรหรือที่จะกิน ผลมันคงไม่ต่างไปจากต้นไม้ต้นอื่นมากนัก …
โอ้ว!!! ใช่เลย อาดัมกับเอวาหาได้ตระหนักไม่…ว่า…ความสำคัญที่แท้จริงคืออะไร เมื่อเขาถูกล่อลวงชวนให้หลง สิ่งที่ตาเห็นทำให้เขาคิดคล้อยตาม
พระเยซูแทรกเข้ามาเพื่อให้ความเข้าใจมากยิ่งขึ้นว่า “บาปที่แท้จริงที่เกิดขึ้นที่นี่คืออะไร?”
ฉันตอบ “ก็การเชื่อฟังไงค่ะ”
พระเยซูพระพักตร์จริงจังและหนักแน่นมาก “บาปแท้จริงของมนุษย์ทันทีที่เขาถูกล่อลวงและเขาตัดสินใจจะกิน  ก่อนหน้าที่เขาจะกินหรือเอาเข้าปากนั้น สิ่งที่เขาผิด คือ เขาได้ทำลายความวางใจลง เพราะแท้จริงต้นไม้นี้มีความสำคัญที่คำตรัสของพระบิดา ว่า ‘ห้ามกิน’ แต่เขามองดูด้วยตาแล้ว ก็ไม่ต่างอะไรกับต้นอื่นๆ แน่นอนว่าอะไรก็ตามที่เราตั้งไว้ตรงหน้าเจ้า ไม่ได้สำคัญที่รูปลักษณ์ภายนอก แม้เหมือนกัน หรือต่างกัน สิ่งสำคัญคือ เราตรัสว่าอย่างไร ถ้าเราว่าใช่มันคือใช่ ถ้าเราว่าได้มันคือได้ แต่ถ้าเราว่าไม่มันคือไม่ ทันทีที่มนุษย์ตัดสินใจจะกินมันด้วยการพินิจดูด้วยสายตาของตนเอง เขาได้ทำลายความวางใจที่มีต่อพระลักษณะของเรา ทำลายความวางใจที่มีต่อคำตรัสของเรา และการล้มลงในการเชื่อฟังก็เกิดขึ้นทันทีที่ผลต้นไม้นั้นเข้าปากเขา เจ้าลองสังเกตุดูสิ ว่าไม่มีมนุษย์คนใดอยู่ร่วมกันได้หากความวางใจ ความเชื่อใจได้ถูกทำลายลง ไม่มีองค์กรใดสามารถไปร่วมกันได้หากความวางใจถูกทำลายลง ไม่มีใครเดินไปพร้อมกับเราได้หากไม่วางใจในเรา คนที่พยายามแล้วพยายามเล่าที่จะเชื่อฟังแต่เขาทำไม่ได้เพราะเขาไม่วางใจ สิ่งที่เรา (พระเยซู) สอนในพระคัมภีร์ คือ จงวางใจในเรา เราสอนเรื่องวางใจก่อนเรื่องเชื่อฟัง เพราะความวางใจเป็นรากฐานสำคัญในการเชื่อฟัง ”

ข้าพเจ้าบอกพระองค์ว่า “โอ้ว พระองค์เจ้าข้า สิ่งที่ทรงตรัสช่างล้ำลึกและแตกต่างจากสิ่งที่เคยรู้มาโดยสิ้นเชิง” ข้าพเจ้าทั้งรู้สึกดีใจที่ทรงเลือก ตรัสกับข้าพเจ้า ทำให้เข้าใจความล้ำลึกนี้ซึ่งใครก็สอนไม่ได้ นอกจากพระองค์เอง แต่ก็เศร้าใจอีกที่รู้สึกว่าใช่เลย ความวางใจสำคัญมาก!!!

ในทันใดนั้นข้าพเจ้าก็รู้สึกว่าตัวเองถูกพาไปอีกที่หนึ่ง ตรงหน้าเห็นชายหนุ่มร่างกายบึกบึนกำลังตอกไม้อยู่…

ข้าพเจ้าถามพระเยซูว่า “แค่นี้หรอคะ ยังไม่เห็นอะไรอื่นในเอเดนอีกเลยนอกจากต้นไม้นั้น อย่าเพิ่งเลย ขอดูรอบๆ อีกนิด”
แต่พระองค์ตรัสอย่างเด็ดขาดและนุ่มนวลว่า “จงมองดูสิ่งที่อยู่ตรงหน้าเจ้าต่อไป” ข้าพเจ้าข่มความอยากรู้อยากเห็นไว้ และรู้ว่าพระเจ้ากำลังสอนและทำบางอย่าง ได้แต่รู้สึกภายในว่า…พระเจ้าเท่านั้นที่ทรงกำหนดและมอบให้ ส่วนเราก็เรียนรู้ไปตามลำดับของพระองค์

ชายคนนั้นมีอายุยังน้อยอยู่ ราว 20 ต้นๆ ร่างกายดูแข็งแรงจากการทำงานของเขา มองเห็นความบึกบึนที่กล้ามเนื้อของเขา ขณะที่เขากำลังขมักเขม้นกับการตอกไม้อย่างละเอียดละออ ทั้งตะปูจะต้องกี่มิลลิเมตร ขนาดเท่าไร เขาดูใส่ใจอย่างมาก…
พระเยซูตรัสว่า “ชายผู้นี้คือโนอาห์”
ฉันคิดว่า “อ้อ มิน่าหละ แต่เขายังดูหนุ่มมากๆ เลย”
พระองค์ตรัสต่อ “เขาสัตย์ซื่อและดีเลิศเช่นนี้ตั้งแต่ครั้นยังหนุ่มแน่น แต่กว่าพระบิดาจะเรียกใช้เขาก็อายุ 80 ปีแล้ว เขาไม่ได้ดีเลิศเพียงในวัย 80 พระเจ้าจึงใช้เขา แต่เขาสะสมความสัตย์ซื่ออย่างต่อเนื่อง … เขาดีเลิศอยู่ทุกเวลาของเขา เมื่อเราเรียกเขาต่อเรือ โนอาห์สามารถทำตามและเชื่อฟังเราได้ทุกกระเบียดนิ้ว ทุกรายละเอียด เมื่อเราสั่งเขาในการต่อเรือ เขาเข้าใจและทำตามได้เพราะทั้งชีวิตของเขาเป็นเช่นนั้น เขาถูกฝึกในระหว่างเวลาเหล่านั้นเพื่อจะเข้าใจเมื่อเราสั่งเขา โดยไม่มีข้อโต้แย้งอันใด เขาสามารถทำตามและเชื่อฟังได้ แม้ใครต่อใครจะไม่เห็นด้วยหรือเยาะเย้ยเขา นี่แหละ คือการเชื่อฟัง เจ้าเข้าใจการเชื่อฟังแล้วหรือไม่”

ข้าพเจ้ายังคงไม่ละสายตาไปจากโนอาห์ชายผู้นี้

ในขณะนั้นเองข้าพเจ้าได้กลับมาที่เดิม ตัวเองกำลังนั่งบนรถเข็นที่พระเยซูเข็นพาเข้าไปที่สวนเอเดน
และทรงตรัสว่า “เจ้าไม่สามารถใช้ขาของเจ้าเข้าเอเดนได้ แม้เจ้ามีขาก็เข้าไม่ได้ กำลังของเจ้าไม่มีทางทำได้ แต่เราจะพาเจ้าเข้าไป” ถึงเวลานี้ข้าพเจ้าเข้าใจแล้วว่า… ไม่ว่าจะมีอะไรมากแค่ไหน ศักยภาพเพียงใด กำลังขนาดไหน ก็ไม่สามารถเข้ามายังสถานที่แห่งนี้ได้เลย มีแต่พระเยซูเท่านั้นที่ทรงพามา ดังนั้นข้าพเจ้าจึงเห็นตัวเองนั่งบนรถเข็นทั้งที่ขาก็ไม่ได้เป็นอะไรและพระองค์ทรงเข็นเข้ามา นี่คือสิ่งที่พระองค์เท่านั้นที่ทำ

พระองค์ตรัสตอบความสงสัยของข้าพเจ้าต่อไป “แม้สวรรค์เป็นที่เบื้องหน้าที่ไม่มีใครสามารถไปได้ในเวลานี้ เรายังเปิดเผยได้เลย กับสถานที่นี้ซึ่งเคยเปิด แต่บัดนี้ได้ปิดแล้ว จะแปลกอะไรหากเราจะพาเจ้ามา จงเข้าใจและไม่สงสัยในสิ่งที่เจ้าเห็นและมาเถิด เพราะเราเป็นผู้พาเจ้ามาเอง”

150313

0Shares